นิรุตติ์ ศิริจรรยา เล่าความในใจอันลึกซึ้งที่มีต่อในหลวง ร.9

บุญเกียรติ โชควัฒนา -นิรุตติ์ ศิริจรรยา

เมื่อวันที่ 7 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 156 ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศแต่งชุดสีดำเรียบร้อย พร้อมพาลูกหลานที่อยู่ในช่วงวันหยุดปิดภาคเรียนมาต่อแถวเข้ากราบสักการะพระบรมศพต่อเนื่องตลอดทั้งวัน แม้สภาพอากาศจะค่อนข้างร้อนอบอ้าว

นายนิรุตติ์ ศิริจรรยา ดารานักแสดง เปิดเผยว่า ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศลกับมูลนิธิ ดร.เทียม โชควัฒนา พร้อมกับครอบครัวโชควัฒนาและผู้บริหาร-พนักงานเครือสหพัฒน์ รู้สึกปลาบปลื้มที่สุดในชีวิตและถือเป็นเกียรติกับตนเองและครอบครัวเป็นอย่างมากที่ได้มาแสดงความอาลัยและกราบสักการะพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งการทรงงานที่เหน็ดเหนื่อยอย่างมากของพระองค์ตลอด 70 ปีที่ทรงครองราชย์ สำหรับการที่ได้มาแสดงความอาลัยและบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายแด่พระองค์เพื่อตอบแทนพระองค์ในวันนี้เทียบไม่ได้กับสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อพวกเราตลอดมา

“ผมเห็นพระองค์มาตั้งแต่จำความได้ ขณะที่อายุราว 8-9 ขวบ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ออกผนวชที่วัดบวรนิเวศวิหาร คุณแม่ได้พาไปเฝ้าฯ รับเสด็จเป็นครั้งแรกที่ได้ชื่นชมบารมีของพระองค์อย่างใกล้ชิด เมื่อเติบโตขึ้น มีหน้าที่การงานก็ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระองค์ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ในพระราชวังดุสิต และได้รับเสด็จครั้งที่พระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ทอดพระเนตรภาพยนต์เรื่องแผ่นดินของเรา ซึ่งผมได้ร่วมแสดงเรื่องนี้ด้วย และยังได้มีโอกาสถวายงานอีกหลายครั้งๆ” นายนิรุตติ์ กล่าว

นายนิรุตติ์ กล่าวด้วยว่า ได้น้อมนำแนวทางเรื่องพอเพียงของพระองค์มาประยุกต์ใช้ในชีวิต โดยเป็นการค่อยๆ ซึมซับจากสิ่งที่ได้เห็น ความพอเพียงนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถทำได้ พระองค์ทรงม่เคยสอนให้รีบร้อน แต่พระองค์ให้อยู่กับความเป็นจริงและอยู่ตามวิถีชีวิตของคนไทยที่เคยเป็นมา อย่างการทำการเกษตรพระองค์ให้ปลูกหลายๆ ชนิด ไม่ใช่ปลูกเพียงชนิดเดียว เช่น การปลูกพืชผักสวนครัวต่างๆ เพราะจะได้ประหยัด ไม่ต้องซื้อหาผักทำให้ประหยัดและมีเหลือเก็บ ความหมายที่แท้จริงของพระองค์คือ พออยู่ พอกิน ชีวิตเป็นสุข และยังพอมีเหลือเก็บด้วย

Advertisement

“ปรัชญาแท้จริงแล้ว สิ่งที่พระองค์ดำรัสออกมา เราต้องเก็บมาคิด สิ่งไหนที่ทำได้ เหมาะสมกับตัวเราเราก็ทำ พระองค์ไม่เคยบอกว่าเราต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้” นายนิรุตติ์ กล่าว

ชลิดา เถาว์ชาลี ตันติพิภพ

นางชลิดา เถาว์ชาลี ตันติพิภพ อดีตนางสาวไทย ปี 2541 กล่าวว่า ตนคิดถึงพระองค์มาก ยิ่งได้เห็นความรักที่ทุกคนมีให้พระองค์ก็รู้สึกปลาบปลื้มและซาบซึ้งใจ เพราะจนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีคนมากราบสักการะพระบรมศพอย่างไม่ขาดสาย ทั้งนี้ ตลอดเวลาแห่งการครองราชย์ พระองค์ได้พระราชทานโครงการพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ สามารถน้อมนำมาใช้ประกอบอาชีพได้และเป็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เพราะพระองค์ทรงเข้าใจบริบทของเมืองไทยและประชาชนไทย นอกจากนี้พระองค์ยังมีคำสอนที่ดีมากมาย ซึ่งตนก็จะน้อมนำมาปฏิบัติ อย่างเรื่องของการพึ่งพาตนเอง ล่าสุดตนมีโอกาสได้ไปสอนการทำสบู่ให้กับน้องๆ ที่ จ.ตาก ซึ่งเป็นเด็กที่มีฐานะยากจน ในนามมูลนิธิไลฟ์ อิมแพค ไทยแลนด์ เนื่องจากเด็กๆ ต้องการมีอาชีพที่สร้างรายได้ด้วยตนเองอีกทาง นอกเหนือจากเงินที่มีผู้บริจาคเข้ามา ตนก็ภาคภูมิใจที่ได้น้อมนำคำสอนของพระองค์ไปช่วยเหลือผู้อื่นให้สามารถพึ่งพาตนเองได้

สมจิตร(กลาง) -รุจา(ริมขวา)

นางรุจา จันทร์เทวี อายุ 58 ปี ครูโรงเรียนโคกสำโรง จ.ลพบุรี ที่ว่างจากภาระหน้าที่การงานในช่วงปิดภาคเรียน จึงตั้งใจพาครอบครัวมากราบสักการะพระบรมศพ เปิดเผยว่า ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ได้มากราบสักการะพระบรมศพ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท รู้สึกปลาบปลื้มใจมาก โดยครั้งนี้ได้พาคุณแม่ นางสมจิตร เตล็ดทอง อายุ 88 ปี และหลานสาว ด.ญ.วันสิรี เตล็ดทอง อายุ 10 ปี โรงเรียนวัดโพธิ์เก้าต้น ที่กำลังปิดภาคเรียนมาพร้อมกัน ซึ่งคุณแม่เคยเดินทางมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ด้วยประชาชนที่มาพร้อมกันจำนวนมากจึงไม่ได้เข้ากราบสักการะ แต่ครั้งนี้มารอไม่นานก็ได้เข้ากราบสักการะ คุณแม่รู้สึกประทับใจมาก และตั้งใจที่อยากจะมาอีกหลายรอบ

Advertisement

“ตนประทับใจในพระราชกรณียกิจทุกๆ อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำเพื่อประชาชนคนไทยทุกคน ตลอดระยะเวลาการครองราชสมบัติ 70 ปี และพระราชจริยวัตรของพระองค์และคุณความดีที่พระองค์ทรงทำเป็นแบบอย่างให้ทุกคนสามารถนำมาปฏิบัติได้ ในฐานะที่เป็นครูก็ได้น้อมนำพระราชดำรัสของพระองค์มาสอนแก่นักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนที่อาจจะประพฤติเกเร ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 เพียงพระองค์เดียวทรงทำเพื่อประชาชนคนไทยได้มากมาย แล้วเราในฐานะที่เป็นประชาชนอยากให้เริ่มทำความดีเริ่มจากตนเองก่อน ให้คิดดี ทำดี ประพฤติดี และต่อไปก็ส่งต่อความดีเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมส่วนรวม” นางรุจา กล่าว

ด้านนางสมจิตร กล่าวว่า มากรุงเทพฯ ไม่บ่อยนัก ครั้งก่อนหน้านี้เดินทางมาแต่ไม่ได้เข้ากราบสักการะด้านในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้แต่เพียงกราบพระองค์จากด้านนอกกำแพงพระบรมมหาราชวัง ครั้งนี้ได้เข้าไปกราบพระองค์ด้านในตื้นตันใจมาก ตอนนี้ยังมีแรง แม้ว่าจะต้องมารอต่อแถวเพื่อเข้ากราบสักการะก็ไม่รู้สึกเหนื่อยล้า และอยากจะเดินทางมาอีกหลาย ๆ รอบ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image