ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 163 ประชาชนจากทั่วประเทศใช้โอกาสวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์แต่งกายชุดสีดำสุภาพ มาต่อแถวพร้อมครอบครัวเพื่อรอกราบถวายสักการะพระบรมศพไม่ขาดสาย โดยสำนักพระราชวังเปิดประตูวิเศษไชยศรีให้ประชาชนเข้าตั้งแต่เวลา 04.45 น. จากเปิดปกติเวลา 08.00 น. ขณะที่ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้ากราบถวายสักการะสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ที่ปราสาทพระเทพบิดร ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันดังกล่าวตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. โดยประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างเดินทางเข้ากราบสักการะสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช 8 รัชกาล เนืองแน่ตลอดทั้งวัน โอกาสนี้สำนักพระราชวังได้นำพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลอง มาประดิษฐานหน้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สรงน้ำเพื่อเป็นสิริมงคล
ดร.ศิริพร พึ่งเพ็ชร์ อายุ 60 ปี อาจารย์ประจำสาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ มาพร้อมนางสาววิไลวรรณ จันณรงค์ อายุ 65 ปี อาจารย์ประจำสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล เดินทางมากราบถวายสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรกทั้งคู่ โดยดร.สิริพรกล่าวก่อนว่า พวกเราถือโอกาสช่วงวันหยุดยาวเดินทางมากราบพระบรมศพ ก็เป็นความประทับใจที่ได้เห็นภาพพลังความจงรักภักดีของพสกนิกรที่มีต่อพระองค์ ตอนเข้าไปเบื้องหน้าพระบรมโกศได้อธิษฐานให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย ไม่ได้อธิษฐานอะไรให้ตัวเองเลย เพราะคิดแต่ว่าพระองค์ทรงเหนื่อยมามากแล้ว ทั้งนี้ ดิฉันประทับใจการทรงงานด้านน้ำที่พระองค์มีสายพระเนตรยาวไกล ที่ว่าหากจะมีน้ำก็ต้องมีป่า จึงทรงมีโครงการอนุรักษ์ป่าเพื่อใช้ประโยชน์จากป่าในการซึมซับน้ำ อุ้มน้ำเวลาฝนตก จะเห็นว่าพื้นที่ใดไม่มีป่าเมื่อฝนตกไม่มีอะไรอุ้มน้ำ ก็เกิดน้ำป่าไหลหลาก รวมถึงประทับใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ไม่ใช่เพียงการเพาะปลูกพืชอย่างที่หลายคนรู้จัก แต่รวมไปถึงการใช้เวลาให้คุ้มค่า อย่างหลังกราบสักการะพระบรมศพเสร็จ เราจะไปกราบสักการะสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชต่อ ที่ปราสาทพระเทพบิดร ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ถือเป็นการใช้เวลาให้คุ้มค่า
“ดิฉันมีความตั้งใจที่จะสอนให้ลูกศิษย์รู้จักกระบวนการคิด เพราะต้องยอมรับว่าวันนี้คนไทยอาจยังขาดเรื่องคิดวิเคราะห์ จนอาจทำให้ตกเป็นเหยื่อหรือทาสความคิดของต่างชาติ” ดร.ศิริพรกล่าว
ขณะที่ นางสาววิไลวรรณกล่าวว่า เคยมีโอกาสเดินทางไปดูพื้นที่ทรงงานของในหลวงร.9 ในหลายจังหวัด ได้เห็นและประทับใจหลายอย่างโดยเฉพาะหลักการทรงงาน ‘ระเบิดจากข้างใน’ ของพระองค์ที่ไม่ว่าจะพัฒนาอะไรต้องเข้าใจได้ใจประชาชนก่อน ค่อยนำหลักการหรือทฤษฎีเข้าไปปฏิบัติ รวมถึงการใช้หลักภูมิสังคม ที่ไม่ว่าจะไปพัฒนาพื้นที่ไหนจะต้องรู้ลักษณะทางภูมิประเทศ วัฒนธรรมประเพณีของชาวท้องถิ่น ลักษณะความเป็นอยู่มาเป็นพื้นฐานของการทรงงาน อย่างไรก็ตาม ก็จะนำหลักการทรงงานเหล่านี้ไปสอนลูกศิษย์รวมถึงการพออยู่พอกิน การคิดอย่างมีเหตุผล ทำให้พวกเขาเห็นเป็นตัวอย่าง
ด้าน นายชัย มีหนองหว้า อายุ 46 ปี มาพร้อมภรรยา ลูก และญาติๆ กล่าวว่า เนื่องจากเป็นวันที่สมาชิกในครอบครัวมารวมตัวกันอยู่แล้ว จึงอยากให้วันนี้เป็นสิริมงคลต่อตัวเองและครอบครัว เมื่อได้ขึ้นกราบพระบรมศพแล้วรู้สึกปลื้มปิติ เป็นครั้งหนึ่งที่เราจะได้ทำเพื่อพระองค์ ในฐานะหัวหน้าครอบครัวตัวเองได้น้อมนำคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเล่าต่อให้ลูกๆ คือ เรื่องของการใช้ชีวิตในครอบครัวให้รู้จักตัวเองและรู้จักความพอเพียงที่มีอยู่ในปัจจุบัน
“ผมเป็นข้าราชการครู สอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์อยู่แล้ว ดังนั้นทุกครั้งที่สอนในแต่ละวิชา จะบอกกับนักศึกษาตลอดว่า ให้ภูมิใจในความเป็นราชภัฏสมกับที่พระองค์พระราชทานนามให้ ควบคู่กับวิชาการไปด้วยกัน” นายชัยกล่าว
สำนักพระราชวังแจ้งสรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ เมื่อวันที่ 13 เมษายน หลังปิดการขึ้นกราบถวายสักการะพระบรมศพ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 21.10 น. จากปิดปกติเวลา 21.00 น. ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 32,303 คน รวม 162 วัน มี 6,101,859 คน
