พสกนิกรพร้อมครอบครัวเข้ากราบพระบรมศพ ‘ในหลวงร.9’ เพื่อความเป็นสิริมงคลเทศกาลปีใหม่ไทย

เมื่อวันที่ 15 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 164 พบว่าประชาชนจากทั่วทุกสารทิศยังคงใช้โอกาสเนื่องในวันหยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ มาต่อแถวรอถวายสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนอบอ้าวตลอดวัน โดยสำนักพระราชวังเปิดประตูวิเศษไชยศรีให้ประชาชนเข้าตั้งแต่เวลา 04.45 น. จากเปิดปกติเวลา 08.00 น.

ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้ากราบถวายสักการะสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ที่ปราสาทพระเทพบิดร ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันดังกล่าวตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. โดยสำนักพระราชวังได้นำพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจำลอง มาประดิษฐานหน้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สรงน้ำเพื่อเป็นสิริมงคล ขณะที่ในวันนี้ทางสำนักพระราชวังงดจำหน่ายบัตรให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นเวลา 1 วัน

นางเบญจวรรณ เวชมนัส อายุ 71 ปี เดินทางมาจากอ.เมือง จ.นครสวรรค์พร้อมบุตรชายและบุตรสาว กล่าวว่า วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เดิมมีความตั้งใจอยากมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสสักครั้งประกอบกับเดินเหินไม่สะดวกต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงเดิน จึงเกรงว่าจะเป็นภาระลูกหลาน ซึ่งต่อมาลูกๆ ทั้งสองก็ชักชวนตนมาและใช้โอกาสวันหยุดในวันสงกรานต์นี้เข้าสักการะพระบรมศพ

“รู้สึกปลื้มใจมากเห็นคนเดินทางมาเยอะ คนรักพระองค์เยอะ ตั้งแต่เกิดมาแม้ไม่เคยรับเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 เลยสักครั้งในชีวิต แต่ดิฉันก็รับรู้ผ่านช่องทางต่างๆ ตลอดจนข่าวสารผ่านทางหน่วยงานราชการ ทั้งนี้ รู้สึกประทับใจในทุกโครงการของพระองค์ ไม่คิดว่าในหลวงเพียงพระองค์เดียวจะสามารถคิดค้นอะไรได้มากมาย เพื่อปวงประชาชนได้ถึงขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม คำสอนของพระองค์ที่น้อมนำมาปฏิบัติใช้อยู่ตลอด โดยเฉพาะการเป็นข้าราชการที่กรมการปกครอง จ.นครสวรรค์ คือ ความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงาน ยึดมั่นในคุณความดีเพื่อปวงประชาชน ซึ่งส่งผลต่อชีวิตหน้าที่การงานในทิศทางที่ดีได้อย่างแท้จริง และดิฉันก็ได้ส่งต่อแนวคิดนี้แก่ลูกทั้งสองด้วย” นางเบญจวรรณกล่าว

Advertisement

ด้านครอบครัวมุทธากลิน นำโดยนาย คมกฤษณ์ เดินทางมาพร้อมกับภรรยา นางพชรวรรณ และลูกสาว นางสาวพุทธิภัคย์ เดินทางมาจากบ้านพักย่านรังสิตด้วยรถประจำทางบริการฟรีตั้งแต่เวลา 06.00น. โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงจึงได้เข้ากราบสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ

“วันนี้ทุกคนในครอบครัวหยุดพร้อมกันจึงตั้งใจมากราบพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ตอนที่พระองค์ท่านยังมีพระชนม์ชีพมีโอกาสได้ชื่นชนพระบารมีหลายครั้งในวันจักรี ขณะที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลาพระราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชที่สะพานพุทธ เมื่อก่อนบ้านผมอยู่แถวปากคลองตลาดซึ่งเป็นเส้นทางที่พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินผ่าน จึงมีโอกาสได้รับเสด็จพระองค์ทุกปี นอกจากนี้ยังติดตามข่าวในพระราชสำนักตอน 2 ทุ่มทุกคืน ทำให้รู้ว่าพระองค์ทรงอุทิศตนเพื่อประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง ทุกวันนี้ตัวผมเองยังได้น้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านมาปรับใช้ในเรื่องความพอเพียง ความมัธยัสถ์ ไม่สุรุ่ยสุร่าย สิ่งใดจำเป็นต้องซื้อก็ซื้อ และใช้ให้หมดก่อนถึงจะซื้อชิ้นใหม่” หัวหน้าครอบครัวมุทธากลินกล่าว

 

Advertisement

 

 

 

บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

 

ขณะที่นางชฎารัตน์ สุนทรินทร อายุ 59 ปี ครูประจำโรงเรียนวัดสันตยาราม จ.นครนายก เดินทางจากภูมิลำเนา อ.หินกอง จ.สระบุรี พร้อมด้วยน้องสาวสองคน น.ส.อรอนงค์ โพธิ์ณะชาติ อายุ 57 ปี พนักงานการเงินและการบัญชี กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และนางมลฤดี เกิดเกตุ อายุ 55 ปี ครูศูนย์เด็ก อบต.ห้วยทราย จ.สระบุรี โดยรถยนต์ส่วนตัวมาถึงบริเวณท้องสนามหลวงราว 07.00น. ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงได้สักการะพระบรมศพสมความตั้งใจ

นางชฏารัตน์ กล่าวว่า ตัวเองเคยมากราบพระบรมศพครั้งหนึ่งแล้วในฐานะเจ้าภาพร่วมบำเพ็ญกุศล แต่ช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์นี้จึงถือโอกาสพาน้องสาวสองคนมาอีกครั้ง โดยตั้งจิตอธิษฐานบอกในหลวงรัชกาลที่ 9 ตั้งแต่ทางเข้าประตูวิเศษไชยศรี กระทั่งถึงภายในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทว่า จะตั้งใจทำหน้าที่ครูให้การอบรมสั่งสอนเยาวชนของชาติให้ดีที่สุด ด้วยความที่โรงเรียนน้อมนำพระราชดำริของพระองค์มาเป็นหลักการสอนด้วย จึงปลูกฝังให้นักเรียนรู้จักอดออม เรียนรู้การปลูกพืชผักสวนครัว โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเข็มทิศชีวิต

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความประทับใจที่มีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 แม่พิมพ์ของชาติกล่าวด้วยน้ำตาว่า “รักทุกอย่างที่เป็นพระองค์ สมัยได้ทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ก็ไม่ได้ห้อยพระหรือพกเครื่องรางของขลังใดๆ นอกจากเหรียญของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งตัวเองยึดพระองค์เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เตือนตัวเองให้ทำแต่ความดี มีความเสียสละ ช่วยเหลือสังคม”

ส่วนนางรัตนา จุ้ยวงษ์ อายุ 48 ปี พร้อมด้วยมารดา นางทองใบ ศรีพรรณ อายุ 69 ปี และน้าสาว นางมณี เลิศลำหวาน 64 ปี พสกนิกรจาก จ.ร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า เนื่องในวันปีใหม่ไทย จึงอยากมากราบสักการะพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ภายหลังเข้าไปกราบพระบรมศพเป็นความรู้สึกปลื้มใจ เพราะเรารู้สึกสำนึกในสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำเพื่อปวงชนชาวไทยมาตลอดพระชนม์ชีพ

“ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา เป็นที่รู้กันว่าภาคอีสานแห้งแล้ง แต่พวกเราก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ในโครงการพระราชดำริฝนหลวง ทำให้เราชาวอีสานมีน้ำใช้ ทำให้ชีวิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น นอกจากนี้ครอบครัวได้น้อมนำปรัชญาในการดำเนินชีวิตที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงชี้แนวทางในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง โดยปลูกผักในครัวเรือน มีเหลือก็ขาย ใช้จ่ายแบบไม่ฟุ่มเฟือย” นางรัตนา กล่าว

สำนักพระราชวังแจ้งสรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 14 เมษายน หลังปิดการขึ้นกราบถวายสักการะพระบรมศพ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 21.15 น.ว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 42,128 คน รวม 163 วัน มี 6,143,987 คน ส่วนยอดเงินประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศล วันที่ 13 และ 14 เมษายน สำนักพระราชวังจะยกยอดไปนับรวมกับยอดเงินในวันที่ 15 เมษายน

 

ครอบครัวมุทธากลิน
จากซ้าย อรอนงค์-มลฤดี-ชฎารัตน์
นางเบญจวรรณ เวชมนัส พร้อมบุตรชายและบุตรสาว
นางรัตนา จุ้ยวงษ์ (กลาง) พร้อมมารดาและน้าสาว

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image