ชาวปทุมธานี เล่าความประทับใจครั้งรับเสด็จ “ในหลวงร.9” เผยนับเป็นบุญที่สุดในชีวิต

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 170 ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาต่อแถวรอกราบถวายสักการะไม่ขาดสาย แม้เป็นวันทำงานก็ตาม ทั้งนี้ทางสำนักพระราชวังเปิดประตูวิเศษไชยศรีให้ประชาชนเข้าตั้งแต่เวลา 04.45 น. จากเปิดปกติเวลา 08.00 น. ขณะที่บริเวณหน้าประตูสรีสุนทร ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นประตูทางออกของพสกนิกรหลังกราบสักการะพระบรมศพ การนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน อาทิ ข้าวไก่กระเทียม บะหมี่หมูย่าง เฉาก๊วยชากังราวและมีน้ำดื่มให้บริการตลอดทั้งวัน

“ครอบครัวโคตรโนนกอก” เดินทางมาจากจ.ปทุมธานี หวังได้กราบสักการะพระบรมศพตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ นำโดยนายทองใบ โคตรโนนกอก อายุ 65 ปี เปิดเผยว่า เดิมพื้นเพเป็นคนชัยภูมิแต่ได้มาตั้งหลักปักฐานอยู่ในจ.ปทุมธานี ส่วนความรู้สึกในวันนี้ตนรู้สึกดีใจมากเนื่องจากเป็นครั้งแรก ก็ได้เห็นทั้งบรรยากาศผู้คนที่ต่างเดินทางมาสักการะ ไม่นึกว่าตนเองจะได้มา ยิ่งตอนได้เห็นพระบรมโกศก็ตื้นตันใจมาก เพราะไม่มีโอกาสมาสักครั้ง เห็นแต่ในจอทีวีตามข่าวพระราชสำนักก็นึกในใจว่าเมื่อไหร่ตนจะได้มาบ้าง จนวันนี้ทางครอบครัวเห็นว่าเป็นโอกาสที่เหมาะสม ทุกคนมีวันหยุดตรงกันจึงชักชวนกันเดินทางมา โอกาสที่จะมาหายากมาก แม้จะพักอาศัยในจ.ใกล้เคียงก็ตาม เพราะต้องทำงานหาเช้ากินค่ำ

“ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตมาแล้วระยะหนึ่ง จนตอนนี้ก็ใกล้ถวายเพลิงพระบรมศพแล้ว รู้สึกใจหายมากแม้ไม่เคยรับเสด็จพระองค์สักครั้งก็ตาม ถึงกระนั้นก็จำได้ว่าครั้งยังเป็นเด็ก เมื่อประมาณปี 2520 เคยได้รับเสด็จสมเด็จย่าที่ศาลากลางจ.ชัยภูมิ ชาวบ้านทุกคนก็ต่างนั่งรอ จนเวลานั้นมาถึงทุกคนก็ตะโกนกึกก้องทรงพระเจริญ พระองค์ฉลองพระองค์ชุดลูกเสือได้อย่าสง่างาม นาทีนั้นได้แต่อ้ำอึ้งไปพักใหญ่ และเปล่งเสียงทรงพระเจริญ นึกในใจว่าเป็นบุญมากที่ได้มารับเสด็จพระองค์ในครั้งนี้ แม้สมัยนั้นจะทำงานเย็บผ้าอีกอำเภอหนึ่งที่ห่างไปประมาณ 60 กิโลเมตร แต่ก็รีบทำงานเย็บผ้าให้ทันให้มารับเสด็จฯสมเด็จย่า ต่อมาก็ทราบข่าวสมเด็จย่าเสด็จสวรรคตก็เป็นความโศกเศร้าในครั้งนั้น จนตอนนี้เราก็กลับมาอยู่ในบรรยากาศนั้นอีกแล้ว รู้สึกใจหาย แต่ก็อยากให้ปวงชนชาวไทยรู้ว่าแม้เราจะสูญเสียทั้งสองพระองค์ไปแต่ปวงชนชาวไทยยังมีสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่เสมอ” นายทองใบกล่าวอย่างตื้นตันใจ

ครอบครัวโคตรโนนกอก

ขณะที่นายณัฐพนธ์ แสงแดงชาติ พนักงานบริษัทเอกชน อายุ 35 ปี เดินทางมาจากจ.สมุทรปราการ พร้อมเพื่อนสาว น.ส.จตุพร ปิ่นสุวรรณ อายุ 31 ปี พนักงานบริษัทเอกชนเช่นเดียวกัน เปิดเผยความรู้สึกภายหลังเข้าสักการะพระบรมศพเป็นครั้งแรก ว่า ตนคิดว่าตนเป็นพสกนิกรของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งหากมีโอกาสก็จำเป็นต้องมีสักวันที่เดินทางเข้ามาสักการะพระบรมศพ แม้ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรตมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเห็นพระบรมโกศของพระองค์ ก็ตื้นตันใจมาก พยายามมองให้ได้นานที่สุดพร้อมระลึกถึงอธิษฐานให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย

Advertisement

“แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่แต่ก็ประทับใจในโครงการพระราชดำริทุกโครงการเพราะทุกอย่างเป็นโครงการเพื่อประชาชนไม่ใช่เพื่อส่วนพระองค์ อย่างสิ่งที่ประทับใจมากที่สุด คือ โครงการที่เกี่ยวกับเส้นทาง ถนนหนทาง สะพานต่างๆ ที่ทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างขึ้น เนื่องจากทำให้ประเทศไทยมีเส้นทางคมนาคมที่สะดวกไม่เหมือนอดีต แม้ช่วงชีวิตที่เกิดมาไม่เคยรับเสด็จพระองค์แม้แต่ครั้งเดียว แต่ตนก็รับรู้ว่าประเทศไทยของเรามีในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงงานหนักเพื่อปวงชน อนึ่งในช่วงวัยเรียนทางโรงเรียนจะได้แจกสมุดปกน้ำตาลที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มอบอุปกรณ์การเรียนให้แก่นักเรียน ตลอดจนวิชาเรียนที่แทรกซึมเนื้อหาเกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 จนปัจจุบันท่านเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิต” นายณัฐพนธ์กล่าว

ส่วนน.ส.จตุพร กล่าวว่า ความจริงตนเดินทางมาถวายสักการะแล้วถึงสามครั้ง ซึ่งหากมีโอกาสก็จะเดินทางมาอีกเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นความรู้สึกที่ดีเพราะทุกครั้งที่เดินมาต่างเจอบรรยากาศที่แตกต่างออกไป อย่างการเดินทางครั้งแรกช่วงนั้นเป็นเป็นความตั้งใจที่จะเดินทางมาถวายพระบรมศพภายหลังที่พระองค์เสด็จสวรรคตในช่วงปลายเดือนตุลาคม ขณะนั้นประชาชนเดินทางมาเยอะมาก รู้สึกอัดอั้นตันใจ เห็นคนไทยต่างหยิบยื่นความช่วยเหลือซึ่งกัน ส่วนครั้งที่สองบรรยากาศยังคงเป็นไปแบบเดิม ตนก็ยังคงรู้สึกประทับใจ ทุกครั้งที่เข้าไปกราบสักการะพระบรมโกศยังคงตื้นตันใจไม่อยากละสายตาไปจากตรงนั้น

“สิ่งที่ประทับใจในพระองค์ที่สุดคือ การทรงงานหนัก สอดคล้องกับตัวเองที่ปัจจุบันทำงานออฟฟิศ อาจจะมีบ้างที่ทำงานเหนื่อย งานหนักและงานเยอะ แต่เมื่อมองย้อนไปที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พบว่าพระองค์ทรงงานหนักกว่าเรามากนัก จึงอยากจะฝากเรื่องแนวคิดของการทำงานให้รู้จักอดทน และที่สำคัญคือ อยากให้เด็กรุ่นใหม่ยึดหลักความพอเพียงมาใช้ เพราะปัจจุบันโลกก้าวหน้าไปมากมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาทดแทนสิ่งเดิม แต่พอเพียงไม่ใช่หมายถึงการใส่เสื้อผ้าชุดเดิมหรืออะไร แต่หมายถึงความพอเพียงในศักยภาพที่เท่ามี” น.ส.จตุพรกล่าว

Advertisement
น.ส.จตุพร ปิ่นสุวรรณ – นายณัฐพนธ์ แสงแดงชาต

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image