เมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ.2560-2564 โดยมีวิสัยทัศน์ คือคนไร้ที่พึ่งได้รับการคุ้มครองและเข้าถึงสิทธิเพื่อการมีคุณภาพชีวิตประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ อาทิ พัฒนาระบบการทำงานและคุณภาพการให้บริการเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิของคนไร้ที่พึ่ง, เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สังคมและชุมชนในการดูแลและอยู่ร่วมกันกับคนไร้ที่พึ่ง, สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของภาครัฐและภาคีเครือข่ายในการคุ้มครองดูแลคนไร้ที่พึ่ง โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวได้มอบให้กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) จัดทำแผนปฏิบัติการ ตามยุทธศาสตร์ รวมทั้งแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้นำเสนอข้อมูลการวิจัยและพัฒนาคนไร้ที่พึ่ง พบสาเหตุที่ทำให้เกิดคนไร้ที่พึ่ง อาทิ ปัญหาครอบครัว ตกงานเรื้อรัง เจ็บป่วยเรื้อรัง ใช้ชีวิตลำพัง เคลื่อนย้ายประชากร สวัสดิการสังคมอ่อนแอ อีกทั้งคาดการณ์ผู้ป่วยจิตเวชในไทยประมาณ 600,000 คน 1 ใน 3 มีแนวโน้มเร่ร่อนและไร้ที่พึ่ง, คนไร้ที่พึ่งที่มาใช้ชีวิตในที่สาธารณะมากกว่า 15 ปี มีสาเหตุจากปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนที่น้อยกว่า 5 ปี พบสาเหตุจากปัญหาครอบครัว
ขณะที่ ผศ.ไพรัช บวรสมพงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งเป็นผู้จัดทำร่างยุทธศาสตร์ฯ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ดังกล่าวต้องการให้คนไร้ที่พึ่งอยู่ร่วมกับสังคมได้ เริ่มจากครอบครัวและสังคมที่จะเป็นด่านแรกในการอยู่และป้องกันไม่ให้คนออกใช้ชีวิตในที่สาธารณะ หน่วยงานรัฐที่ต้องร่วมกันดูแลสุขภาพกายสุขภาพจิต สร้างทักษะทางสังคม ดูแลคนไร้ที่พึ่ง และภาคเอกชนในการส่งเสริมอาชีพ แต่ทั้งนี้การเป็นคนไร้ที่พึ่งนอกจากปัจจัยของตัวเองที่ตัดสินใจแล้ว ยังมีปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เป็นตัวกระตุ้นอีกด้วย ฉะนั้นถือว่าเรามีความเสี่ยงมีคนไร้ที่พึ่งหน้าใหม่อยู่ตลอดเวลา แม้การดำเนินที่ผ่านมาจะสามารถลดจำนวนคนไร้ที่พึ่งลงได้ร้อยละ 15 จาก 4,000 กว่าคนที่อยู่ในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง แต่ก็ต้องหาทางป้องกันคนไร้ที่พึ่งหน้าใหม่ โดยคณะอนุกรรมการคนไร้ที่พึ่งซึ่งมี 4 คณะ 4 ด้าน จะประชุมหาแผนป้องกันต่อไป
