ที่มา | นสพ.มติชนรายวัน น.7 |
---|---|
ผู้เขียน | วารุณี สิทธิรังสรรค์ |
เผยแพร่ |
การให้ชีวิต จัดเป็นผลบุญอันใหญ่หลวงสำหรับการต่อชีวิตคนคนหนึ่ง แต่จะมีสักกี่คนที่จะเสียสละต่อชีวิตแก่บุคคลที่เราไม่เคยรู้จักเลย…
“มนุษย์เราเมื่อตายไป เข้าสู่พิธีทางศาสนา มีการเผา เก็บอัฐิ ลอยอังคาร สุดท้ายก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ เราไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้ แม้แต่ร่างกาย อวัยวะของเรา มีเพียงความดีที่กระทำเท่านั้น ดังนั้น การบริจาคอวัยวะเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น จึงเป็นการเสียสละที่ก่อบุญมหาศาล…แต่หลายคนก็ยังกลัวและยังไม่กล้าตัดสินใจในการบริจาคอวัยวะเมื่อยามดับสูญ” นพ.วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย กล่าวขึ้นถึงปัญหาของการรับบริจาคอวัยวะที่ปัจจุบันยังน้อยมาก
ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่ยังหวาดวิตกว่า การบริจาคอวัยวะเมื่อยามเสียชีวิตไปแล้วนั้น จะส่งผลต่อความเชื่อถึงชาตินี้ชาติหน้า ขณะที่ญาติพี่น้องบางครอบครัวก็ไม่อนุญาต
นพ.วิศิษฎ์ บอกว่า ปัจจุบันมีคนรอรับบริจาคอวัยวะมากกว่า 5 พันคน แต่มีผู้รับอวัยวะไปแล้ว 500-600 คนเท่านั้น ซึ่งอวัยวะที่ต้องการส่วนใหญ่เป็นไต ตับ หัวใจ สิ่งสำคัญต้องสร้างความเข้าใจให้กับสังคมว่า การบริจาคอวัยวะและดวงตา จัดเป็นบุญในการช่วยชีวิต อย่ากลัวว่าบริจาคไป เมื่อเราไปเกิดในชาติหน้าจะทำให้พิการ ซึ่งเราไม่มีทางรู้ แต่ที่แน่ๆเราทำดีก็ต้องได้สิ่งดีๆ แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องนี้ต้องช่วยกันหลายๆฝ่าย เพราะจากการสำรวจความคิดเห็นที่ผ่านมาพบว่า 80% เห็นด้วยกับการบริจาคอวัยวะ แต่มีเพียง 20% ที่ยอมบริจาคอวัยวะ
ที่ผ่านมาก็ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนแพทย์ กรมการปกครอง กรมการขนส่ง อย่างกรมการปกครอง เมื่อไปทำบัตรประจำตัวประชาชน จะมีแบบฟอร์มให้กรอกว่า พร้อมจะบริจาคอวัยวะหรือไม่ หากพร้อม ข้อมูลก็จะใส่ลงไปในชิปการ์ด ซึ่งปัจจุบันจะมีคนมาทำบัตรประชาชนประมาณปีละ 5 ล้านคน อาจมาจากบัตรหาย ต่ออายุบัตร ฯลฯ ขณะเดียวกัน กรมการขนส่งก็จะมีลักษณะคล้ายๆกัน โดยหากใครบริจาคอวัยวะ ก็จะมีรูปกาชาดติดที่ใบอนุญาตขับรถ ซึ่งตรงนี้เชื่อว่าจะมีคนมาบริจาคเพิ่มขึ้น
กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นอีกหน่วยงานที่ให้ความสำคัญ โดย นพ.โสภณ เมฆธน ปลัด สธ. บอกว่า ปัจจุบันผู้รอรับบริจาคอวัยวะมีจำนวนมา อย่างผู้ป่วยไตวายเรื้อรังมีเป็นแสนคน ทุกวันนี้ต้องล้างไตผ่านช่องท้อง ร่วมกับการฟอกเลือด แต่วิธีดีที่สุดคือการเปลี่ยนไต ซึ่งก็ต้องรอรับบริจาค ขณะที่ดวงตาก็เช่นกัน มีผู้มองไม่เห็นกว่า 12,000 คน แต่ผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาจริงๆเพียงปีละ 600-700 คน สธ.จึงร่วมกับสภากาชาดไทยในการรณรงค์เชิญชวนคนมาบริจาค ขณะเดียวกันก็มีนโยบายในการตั้งการบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เป็น 1 ใน 5 กลุ่มสาขาเชี่ยวชาญพิเศษของโรงพยาบาล เรียกว่า Excellent Center
“นอกจากให้โรงพยาบาลพัฒนาศักยภาพจนเป็น Excellent Center ด้านนี้แล้ว ส่วนกลางยังสนับสนุนในแง่บุคลากร โดยโรงพยาบาลที่สามารถพัฒนาจุดนี้ได้จะต้องตั้งพยาบาลสำหรับทำหน้าที่ประสาน พูดคุยกับญาติ กรณีผู้เสียชีวิตว่า จะพร้อมบริจาคอวัยวะหรือไม่ หรือแม้แต่ผู้เสียชีวิตที่ตอนมีชีวิตอยู่จะแสดงความจำนงว่าจะบริจาคอวัยวะแล้ว เราก็ต้องสอบถาม ซึ่งพยาบาลจะได้เป็นพยาบาลชำนาญการพิเศษ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ” ปลัดสธ.กล่าว
นพ.สมยศ ศรีจารนัย สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 4 ในฐานะผู้ประสานงานด้านนี้ ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมามีคนรอรับการปลูกถ่ายอวัยวะมาก อย่างปี 2558 มีคนรอรับบริจาค 5,018 คน ต่อมาปี 2559 รอรับบริจาคที่ 5,581 แต่รับปลูกถ่ายจริงๆ ประมาณ 500 คน ระหว่างการรอ ในปี 2558 เสียชีวิตไปแล้ว 111 คน ขณะที่ปี 2559 ระหว่างรอเสียชีวิตไป 110 คน และยังมีผู้ป่วยรายใหม่ที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะอีกประมาณพันคน แต่หากเราได้รับการบริจาคอวัยวะจากผู้ที่เสียชีวิตจากภาวะสมองตายก็จะช่วยต่อชีวิตคนอื่นๆได้อีก ซึ่งหากเก็บดีๆ อวัยวะของผู้เสียชีวิต 1 คนจะช่วยคนมีชีวิตต่อได้อีกถึง 8 คน
ทั้งนี้ ปลัดสธ. ได้ให้ความสำคัญและวางแนวทางการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) โดยให้การบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เป็นหนึ่งในกลุ่มสาขาของระบบ และพัฒนาจนเป็น Excellent Center ซึ่งปัจจุบันมีรพ.ในเขตสุขภาพทั้ง 12 เขตสุขภาพที่สามารถบริจาคอวัยวะและดวงตาได้หมดทั่วประเทศ แต่ปลูกถ่ายไต จะทำได้ใน 9 เขตสุขภาพไม่รวมพื้นที่กทม. โดยยังเหลืออีก 3 เขตสุขภาพ ซึ่งคาดว่าในปี 2560 จะเพิ่มมาอีก 1 เขต คือ เขต 5 และปี 2561 จะได้เขต 4 และเขต 3 โดยส่วนใหญ่จะเป็นโรงพยาบาลศูนย์(รพศ.) เพราะมีบุคลากรพร้อม เนื่องจากต้องใช้แพทย์หลายสาขา
ในเรื่องการบริจาคดวงตาก็สำคัญ ปัจจุบันมีคนไข้รอเปลี่ยนกระจกตาจำนวน 11,591 คนในปี 2559 แต่ผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาประมาณ 700-800 คน อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำว่า การรับอวัยวะจากผู้บริจาคจะต้องเสียชีวิตจากสมองตาย แต่หากบริจาคดวงตา จะเป็นผู้ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือภาวะอื่นก็ได้ โดยจุดพิเศษคือ ดวงตาสามารถเก็บได้ถึง 6 ชั่วโมง หลังจากเสียชีวิต เป็นเรื่องน่าแปลกที่คนที่บริจาคอวัยวะ มักอายุยืน เพราะเขาอาจดูแลร่างกาย ดูแลตัวเองดีขึ้น
เมื่อถามถึงข้อกังวลในเรื่องการบริจาคนั้น นพ.สมยศ บอกว่า ปัญหาหนึ่งคือการพูดคุยกับญาติเมื่อผู้ป่วยเสียชีวิต เพราะพบว่า 30% ญาติไม่ยินยอม เพราะกังวลว่าหากบริจาคไปแล้ว ชาติหน้าจะมีอวัยวะไม่ครบหรือไม่ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย พูดง่ายๆอย่างบางคนตัดมดลูก หรือบางคนถอดฟัน มีแต่ฟันปลอม ชาติหน้าจะไม่มีฟันหรือไม่ ก็ไม่ใช่ จึงเป็นความเข้าใจผิด เราก็ต้องทำความเข้าใจกับญาติ ซึ่งรพ.ต่างๆจะมีพยาบาลในการประสานงานขอรับบริจาคอวัยวะ เป็นตัวกลางในการทำหน้าที่ตรงนี้ ซึ่งพยาบาลกลุ่มนี้ต้องผ่านการอบรมจากกระทรวงฯ และจากสภากาชาดไทย เพราะจะมีทักษะเจรจา และทักษะการปฏิบัติ ไม่ใช่อยู่ๆจะไปขอเลย
อย่างไรก็ตาม จากนโยบาย สธ. ในการตั้งกลุ่มสาขาบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ ส่งผลให้รพ.ในสังกัดหลายแห่งมีศักยภาพทั้งรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ อาทิ รพ.พุทธชินราช จ.พิษณุโลก รพ.ชลบุรี รพ.ขอนแก่น รพ.ร้อยเอ็ด
นับเป็นการทำความดีครั้งสุดท้ายแต่ไม่สิ้นสุด ใครที่สนใจร่วมบริจาคติดต่อได้ที่รพ.ทุกแห่งทั่วประเทศ …