ที่มา | หน้าประชาชื่น มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร |
เผยแพร่ |
คงไม่จบง่ายๆ อย่างที่หลายฝ่ายคาดหวังสำหรับการถกประเด็นพิสูจน์คุณค่า หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามในกรณีชุมชนป้อมมหากาฬ ที่เป็นปัญหาเรื้อรังมานานถึง 1 ส่วน 4 ศตวรรษ ซึ่งล่าสุดมีการประชุมคณะกรรมการ 3 ฝ่ายมาแล้วหลายครั้งเพื่อหาทางออก ได้แก่ ฝ่ายกรุงเทพมหานคร ฝ่ายชุมชนและนักวิชาการ พร้อมด้วยฝ่ายทหาร
ต่างฝ่ายก็ขนกุนซือทั้งบุ๋นและบู๊มาต่อสู้เชิงความคิดอย่างเอาจริงเอาจัง โดยคาดหวังจะจบปัญหาในกรอบเวลาที่ตั้งไว้ แต่ดูทรงแล้วมีแววจะยืดเยื้อ บรรยากาศการประชุมอย่างน้อย 4 ครั้งที่ผ่านมานับแต่เริ่มต้นวางกรอบกฎเกณฑ์ประเมินค่า ก็มีข้อถกเถียงที่เหมือนจะจบแต่ไม่จบ ต้องทบไปในการพูดคุยครั้งหลัง หรือถูกรื้อรายงานการประชุมใหม่ทั้งที่ได้ข้อตกลงร่วมกันไปแล้ว
ยังไม่นับประเด็นวิวาทะก่อเกิดการปะทะคารมในบางช่วงบางตอน ที่สร้างอุณหภูมิความร้อนในฤดูมรสุม
ต่อไปนี้คือบทสรุปจากการประชุมที่ยังไม่ได้ข้อสรุป
การประชุมที่พลาดไม่ได้แม้เพียงเสี้ยววินาที
การประชุมที่สถานการณ์อาจพลิกผันในการกะพริบตาแค่ครั้งเดียว
‘บ้าน’หรือ’พื้นที่’วุ่นตั้งแต่นิยาม!
นับแต่ประชุมเพื่อกำหนดเกณฑ์การประเมินคุณค่า มีสิ่งสำคัญที่ต้องวางกรอบและสร้างความเข้าใจร่วมกันหลายประการ หนึ่งในนั้นคือประเด็น “พื้นที่” ซึ่ง รศ.ยงธนิศร์ พิมลเสถียร อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง ม.ธรรมศาสตร์ ในฐานะคณะอนุกรรมการอนุรักษ์ และพัฒนาเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า ในการประเมินคุณค่าไม่ได้พิจารณาแค่ตัวบ้าน แต่ต้องรวมถึงความหมายของ “พื้นที่” ไม่เช่นนั้นจะวนเข้าสู่ความคิดเรื่อง “รื้อ หรือ ไม่รื้อ” เท่านั้น โดยมีกระบวนการหลักคือ 1.พิจารณาคุณค่าความสำคัญด้านต่างๆ ซึ่งกรณีชุมชนป้อมมหากาฬ กำลังอยู่ในขั้นตอนนี้ 2.เลือกวิธีการว่าจะทำอย่างไรกับพื้นที่ โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่ทำลาย นอกนั้นจะทำอย่างไรก็ได้ จากนั้นมาถึงข้อ 3 คือ จะบริหารจัดการอย่างไร
ประเด็นนี้ เรื่องพื้นที่และตัวบ้านเป็นที่ถกเถียงกันพอหอมปากหอมคอ ก่อนที่ประชุมจะยอมรับร่วมกันว่าให้พิจารณาพื้นที่ไม่ใช่ บ้านเป็นหลังๆ
ทว่า ในการประชุมครั้งต่อมา ยุทธพันธุ์ มีชัย เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ พ.ท.โชคดี อัมพรดิษฐ์ ผู้บังคับการกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ ขอให้ปรับแก้เนื่องจากไม่เห็นด้วย โดยในการประชุมครั้งที่ตกลงกันในเรื่องดังกล่าว ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม แม้จะส่งตัวแทนมาก็ตาม
ยุทธพันธุ์ ให้เหตุผลว่า ตนได้รับมอบหมายมาเจรจาคุณค่าของ “บ้าน” และการอนุรักษ์ ขอให้หัวข้อเรื่องตัวบ้านเป็นหัวใจในการดำเนินเรื่องนี้ ทุกฝ่ายต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าบ้านมีคุณค่าอย่างไร แต่ถ้าจะเจรจาว่า “พื้นที่” สำคัญอย่างไร และอะไรควรอยู่ในพื้นที่บ้างนั้น ไม่ใช่ภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ขณะนี้สังคมต้องการคำอธิบาย เจ้านายก็ถามทุกวัน การพูดคุย “ไม่ใช่พูดเอามันส์” และยืนยันว่าไม่ใช่คนคิดแยกส่วน ก่อนปิดท้ายว่าตน “แฟร์” ที่สุดแล้วในทรรศนะตัวเอง
‘โอ้โลมปฏิโลม’ คุณค่า 5 ด้าน
มาถึงประเด็นคุณค่าที่ ยุทธพันธุ์ ระบุว่าให้ฝ่ายชุมชนและนักวิชาการ “โอ้โลมปฏิโลม” มาในรายละเอียดนั้น ประกอบด้วยคุณค่าด้านประวัติศาสตร์, ด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม และผังเมือง, ด้านสังคม วิถีชีวิต, ด้านโบราณคดีและด้านวิชาการ ครูบาอาจารย์หลากสาขาวิชาก็ไปงัดข้อมูลหลักฐานแบบจัดเต็ม
รศ.ชาตรี ประกิตนนทการ อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จากรั้วศิลปากร เจ้าของงานวิจัยเรื่องเรือนไม้โบราณที่ป้อมมหากาฬ ส่งเอกสารมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเป็นชุมชนชานพระนครแห่งสุดท้ายของกรุงรัตนโกสินทร์ และการเป็นที่ตั้งของวิกลิเกพระยาเพชรปาณี ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของกรุงเทพฯ และพัฒนาการของเมืองหลังยุครัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา
ด้าน ผศ.สุดจิต (เศวตจินดา) สนั่นไหว อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.รังสิต ในฐานะอุปนายกฝ่ายกิจกรรมเมือง และนโยบายสาธารณะ สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ บอกว่า กลุ่มอาคารในชุมชนป้อมมหากาฬเป็นมรดกสถาปัตยกรรมไม้ที่แบ่งได้ 3 ยุค คือ ยุคก่อน ร.5 ซึ่งเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง, ยุค ร.5-ร.7 ซึ่งได้รับอิทธิพลตะวันตก เป็นเรือนปั้นหยา, ยุค ร.8-ร.9 ซึ่งเป็นยุคอุตสาหกรรม ครึ่งไม้ ครึ่งปูน มีส่วนประกอบของเหล็ก ไม่ว่าจะเป็นยุคใดก็มีคุณค่าทั้งโดย ที่ตั้ง อายุ ความครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งป้อม คลอง ชุมชน ต้นไม้ ลำคลอง อีกทั้งมีการอยู่อาศัยต่อเนื่องกันมากว่า 100 ปี นอกจากนี้ยังพยายามบำรุงรักษาและซ่อมแซมโดยคำนึงถึงวัสดุดั้งเดิม ทำให้ยังคงไว้ซึ่งความชุมชนบ้านไม้โบราณ “ชุมชนอื่นรักษาไว้ไม่ได้เท่าที่นี่”
ภารนี สวีสดิรักษ์ นักวิชาการอิสระด้านผังเมือง ระบุว่า ชุมชนป้อมมหากาฬมีคุณค่าในด้านแบบแผนการตั้งถิ่นฐานชุมชนดั้งเดิมที่สัมพันธ์กับการวางผังเมืองโบราณซึ่งแบ่งกลุ่มพื้นที่การใช้งานเป็นส่วนต่างๆ เช่น วัด-วัง และบ้านเรือน อีกทั้งเป็นหลักฐานยุทธศาสตร์การป้องกันพระนคร
ส่วน ผศ.สุพิชชา โตวิวิชญ์ ประธานกรรมาธิการฝ่ายอนุรักษ์ศิลปะ สถาปัตยกรรม สมาคมสถาปนิกสยามฯ เจ้าของวาทะ “ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเห็นนักวิชาการมารวมกันมากเท่านี้” ยืนยันว่าที่นี่คือชุมชนชานพระนครแห่งเดียวที่เหลืออยู่ และยังมีชีวิต มีการอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีความสัมพันธ์กับชุมชนเก่าแก่โดยรอบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เพียงเท่านั้น ชาวบ้านยังสามารถเล่าประวัติศาสตร์ของตนเองได้อีกด้วย
มาถึง ผศ.ดร.ประภัสสร์ ชูวิเชียร อาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่เดินเท้ามาเป็นกองหนุนให้ป้อมมหากาฬ โดยกล่าวว่า ชุมชนดังกล่าวเป็นแหล่งโบราณคดีที่ยังมีชีวิต เป็นหลักฐานในการตั้งถิ่นฐานที่สืบเนื่องจากชุมชนโบราณไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี หลงเหลือหลักฐานที่แสดงถึงกิจกรรมชุมชนในพื้นเดิมหลายชั่วอายุคน
ปมอนุรักษ์ที่ (ยัง) ถกไม่จบ
สุดท้าย มาถึงเรื่องสำคัญของทุกฝ่าย อัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยามฯ เสนอให้อนุรักษ์ไว้ 24 หลัง แต่ กทม.รื้อเกินไป 2 หลัง จึงคงเหลือ 22 หลัง พร้อมตั้งคำถามว่า จะมีการพัฒนาโซนนิ่งหรือไม่ เช่น การเชื่อมต่อกับภูเขาทอง วัดราชนัดดาฯ ถนนมหาไชย ซึ่งเป็นบริบทโดยรอบ ส่วนประเด็นคนในชุมชน “ชาวบ้านต้องยอมรับว่าต้องอยู่ในฐานะผู้เช่า ต้องยอมรับว่าเป็นบ้านอนุรักษ์ ต่อเติมปรับปรุงไม่ได้”
ฝ่าย กทม.ย้อนเล่าถึงการได้มาซึ่งที่ดิน ซึ่งมี 3 ส่วน ได้แก่ 1.กทม.เจรจาขอซื้อในช่วง พ.ศ.2503 สมัยยังเป็นเทศบาลพระนครตามคำสั่งการของนายกรัฐมนตรียุคนั้น คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 10 แปลง 2.การเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาเวนคืน ปี 2535 จำนวน 10 แปลง 3.กระทรวงการคลังมอบให้ 1 แปลง รวมทั้งสิ้น 21 แปลง สำหรับบ้านที่เหลืออยู่ในขณะนี้จำนวน 33 หลัง จะถูกตัดออกจากการพิจารณา 11 หลัง เนื่องจากถือว่าไม่อยู่ในเกณฑ์ประเมินคุณค่า 5 ด้าน สำหรับบ้านที่เห็นพ้องให้เก็บรักษาไว้เพื่อการอนุรักษ์อย่างแน่นอนมี 2 หลัง คือ บ้านเลขที่ 99 คือเรือนไม้กลางชุมชน และบ้านเลขที่ 97 คือบ้านหลอมทอง โดยขอ “แขวน” คือยังไม่ตัดสินใจ 4 หลัง โดยจะนำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากติดปัญหาบางอย่าง เช่น เรื่องกรรมสิทธิ์ คงเหลือ 16 หลังสำหรับพิจารณาต่อในวันรุ่งขึ้น ทว่า เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึงก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเพิ่มเติม เนื่องจากใช้เวลาถกเถียงประเด็นอื่นๆ เช่น ชุมชนเสนอให้นำบ้าน 11 หลังกลับเข้ามาพิจารณาร่วมด้วย รวมถึงมีผู้เสนอประเด็นกฎหมายเรื่องสิทธิการอยู่อาศัยซึ่ง กทม.มองว่าไม่ใช่เรื่องที่จะมาคุยกันในที่ประชุมนี้ ก่อเกิดดราม่าชามใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ
สุดท้าย นัดประชุมอีกรอบ 9 มิ.ย.นี้ จากนั้นคาดว่าจะได้ฤกษ์ลงพื้นที่ชุมชนต่อไป
สมรภูมิข่าว น้ำหนักคำ ความเพลี่ยงพล้ำที่ไม่ยอมเสี่ยง
อีกหนึ่งประเด็นเล็กๆ ท่ามกลางการเจรา คือเรื่องของการให้ข่าวซึ่ง ศานนท์ หวังสร้างบุญ จากกลุ่ม “มหากาฬโมเดล” กล่าวในที่ประชุมครั้งแรกๆ ว่า ขอให้ กทม.หยุดการสื่อสารกับสังคมในสิ่งที่ยังไม่ได้เป็นข้อตกลงของ 3 ฝ่าย คือ กทม. ทหารและชุมชน เนื่องจากยังอยูในระหว่างการเจรจาระบุคุณค่า สืบเนื่องจากการที่ผู้บริหาร กทม.ให้ข่าวว่าชาวบ้านต้องออกจากพื้นที่ทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นบ้านอนุรักษ์ก็ตาม
ไม่บ่อยที่จะได้ยินคำขอโทษจาก กทม.แต่ก็เกิดขึ้นเมื่อ ณัฐนันท์ กัลยศิริ ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ตนในฐานะตัวแทนของ กทม.ต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ หากที่ผ่านมามีการให้ข่าวที่สร้างความไม่สบายใจให้แก่ชุมชน
นอกจากนี้ กทม.ยังมีความระมัดระวังอย่างยิ่งในการใช้คำที่อาจสื่อความหมายบางประการ โดยเน้นย้ำเรื่องการขยายความให้ชัดเจน อย่างคำว่า “เห็นชอบ” (ให้นำข้อเสนอจากนักวิชาการเรื่องการระบุคุณค่าของพื้นที่ป้อมฯ เพื่อใช้ในการประกอบการพิจารณา)
นี่คือข่าวคราวของการศึก ณ ป้อมมหากาฬ ที่จะกลายเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ การต่อสู้อันยาวนานเข้มข้นไม่แพ้สงครามครั้งใด