มติแพทยสภา เดินหน้าสอบจริยธรรมหมอเอี่ยว “ดร.เซปิง”

นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์

  ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนายสุรชัย สมบัติเจริญ นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง เปิดใจภายหลังทำศัลยกรรม  โดยมี ดร.เซปิง ไชยศาส์น และทนายร่วมด้วย และยืนยันว่าเป็นสิทธิของตน ไม่ได้มีการโฆษณาเกินจริง ปรากฏว่าช่วงที่มีการแถลงเปิดใจ ไม่มีการพูดชื่อแพทย์หรือสถานที่ทำเลย และย้ำว่าคำว่า เฟซออฟ (Face off)  ไม่ใช่ศัพท์การแพทย์ แต่ความหมายคือการเผชิญหน้า และการโต้เถียงนั้น

   เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่แพทยสภา นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารแพทยสภา ว่า คณะกรรมการได้พิจารณากรณีนายแพทย์ที่ถูกกล่าวอ้าง ว่าเกี่ยวข้องกับการทำศัลยกรรมใบหน้าให้นายสุรชัย สมบัติเจริญ ซึ่งเข้าร่วมในโครงการของดร.เซปิงที่อาจเข้าข่ายการโฆษณาโอ้อวดเกินจริง และมีมติเห็นชอบให้มีการดำเนินการสอบจริยธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์จำนวน 2 คน คือ  1. แพทย์ผู้ทำศัลยกรรม  และ2.แพทย์ผู้ดำเนินการสถานพยาบาล หรือผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่เป็นสถานที่ทำศัลยกรรมให้กับนายสุรชัยด้วย เนื่องจากสถานพยาบาลดังกล่าว กรมสนับสนุนบริการสาธารณสุข(สบส.)มีความเห็นว่ายินยอมให้มีการโฆษณาเกินจริงเพราะไม่มีการยับยั้งการโฆษณาแต่อย่างใด ซึ่งตามกฎหมายเมื่อสถานพยาบาลเข้าข่ายการกระทำความผิด แพทยสภาจะต้องสอบแพทย์ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสบส.ว่าเป็นแพทย์ผู้ดำเนินการ เพราะเป็นผู้ที่รับผิดชอบการกระทำของสถานพยาบาลด้วย

  นพ.สัมพันธ์ กล่าวว่า  ด้วยเหตุนี้แพทยสภา จึงจะเรียกสอบแพทย์ที่เกี่ยวข้องจำนวน 2 คน ขั้นตอนต่อจากนี้จะส่งเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ในวันที่ 10 มีนาคม 2559 ก่อนส่งเรื่องให้อนุกรรมการจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมตรวจสอบต่อไป นอกจากนี้ กรรมการบริหารแพทยสภาดยังมีมติสอบจริยธรรมแพทย์หญิงที่ออกรายการทีวี “ตื่นมาคุย” แล้วพูดโฆษณาโอ้อวดเกินจริง โดยใช้คำพูดว่า “สวยทุกคนหรือสวยทุกเคสด้วย

  “ขอย้ำว่าในส่วนการตรวจสอบการโฆษณาเกินจริงของดร.เซปิงนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับแพทยสภา เพราะดร.เซปิงไม่ใช่แพทย์ เป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.)ต้องตรวจสอบ ซึ่งหากสคบ.สอบถามมายังแพทยสภาว่าเฟซออฟคืออะไรในทางวิชาการ แพทยสภาก็พร้อมที่จะให้ความเห็นตอบกลับไป อย่างไรก็ตาม ดร.เซปิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับแพทยสภา ตรงที่มีการใช้คำว่าเฟซออฟ(Face off) แพทยสภาจึงต้องออกมาให้ข้อมูลทางวิชาการที่เป็นความจริง เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน  เป็นการคุ้มครองผู้บริโภค  ไม่ให้เกิดความสับสนหรือเข้าใจผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของแพทยสภาโดยตรง” นพ.สัมพันธ์ กล่าว

Advertisement

   ผู้สื่อข่าวถามกรณีทางดร.เซปิง และทนายยืนยัน ว่า เฟซออฟไม่เกี่ยวกับทางการแพทย์ หรือวิชาการแต่อย่างใด นพ.สัมพันธ์ กล่าวว่า ก็ต้องมาพิจารณากันไป แต่ในบริบทตรงนี้ การทำเฟซออฟ คือการเปลี่ยนหน้า ไม่ใช่การดึงหน้า ซึ่งจากการที่ได้เห็นใบหน้าหลังการทำศัลยกรรมของคุณสุรชัย เป็นการทำศัลยกรรมแบบเฟซลิฟต์(Face lift) ด้วยการดึงทั้งใบหน้าให้ตึงขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สำหรับประชาชนที่เห็นแล้วเกิดอยากทำตามนั้น จริงๆการดึงหน้าและทำตาเป็นหัตถการที่ไม่เสี่ยงมาก หากคิดจะทำก็ต้องเลือกแพทย์ ซึ่งประเทศไทยมีแพทย์ที่เก่งอยู่มากไม่เฉพาะแค่แพทย์ที่ทำให้คุณสุรชัยเท่านั้น

  ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ทนายความของดร.เซปิงระบุว่า เลขาธิการแพทยสภามีส่วนเกี่ยวข้องกับสมาคมศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้าแห่งประเทศไทย นพ.สัมพันธ์ กล่าวว่า รู้สึกน้อยใจ  แต่ตนก็ไม่ได้สนใจ และต้องนิ่ง เชื่อว่าที่ตนให้ข้อมูลเป็นการอธิบายสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชน ด้วยความเป็นกลาง ไม่อยู่ข้างใดข้างหนึ่ง กับดร.เซปิงก็ไม่ได้รู้จัก จริงๆต้องชื่นชมดร.เซปิงด้วยที่เชิดชูแพทย์ไทย แต่ความจริงก็คือความจริง แพทยสภาต้องให้ความรู้ที่ถูกต้อง 

 เมื่อถามว่าทางดร.เซปิง เปิดเผยข้อมูลออกสื่อว่า นพ.ชลธิศ รับทำศัลยกรรมแต่กลับให้ทางพยาบาลเป็นผู้ดำเนินการแทน ถือว่าผิดหรือไม่ นพ.สัมพันธ์ กล่าวว่า  หากดร.เซปิงจะร้องเรียนการกระทำของแพทย์ท่านไหน แพทยสภาก็ต้องรับเรื่องไว้ เพราะไม่ได้เลือกข้าง

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image