ตัดพ้อกระทรวงศึกษาฯ เชื่อครูมากกว่าเด็ก หลังถูกละเมิดสิทธิจับตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี

ภาพจากเยาวชนเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ

จากกรณีเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย และมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เข้าร้องเรียนกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ถึงกรณีเด็กวัย 4 ขวบถูกโรงเรียนแห่งหนึ่งในจ.นครพนม จับตรวจเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดก่อนจะรับเข้าเรียนในระดับประถมศึกษา ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิ ทั้งที่เด็กไม่ได้ติดเชื้อนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มีนาคม เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ ชี้แจงข้อเท็จจริง เรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า จากกรณีที่เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ร้องเรียนปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีมาตรการเด็ดขาดกับสถานศึกษาที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน บังคับตรวจเลือดก่อนเข้าเรียน ดังที่มีรายงานข่าวปรากฏตามสื่อต่างๆ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า จากการที่ รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัด ศธ. ได้รับรายงานซึ่งอ้างว่าผู้ร้องเรียน (แม่ของเด็ก) เป็นผู้เข้ามาขอให้ทางโรงเรียนประสานงานกับโรงพยาบาลเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจเลือดนั้น ข้อเท็จจริงจากด้านผู้ร้องเรียน คือ ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ที่ต้องการพาลูกไปตรวจเลือดเองตั้งแต่ต้น เนื่องจากว่าลูกของผู้ร้องนั้นเคยตรวจเลือดยืนยันผลแล้วว่าไม่มีเชื้อเอชไอวี แต่ในขั้นตอนการรับสมัครเข้าเรียน โรงเรียนบอกกับเธอว่าต้องการให้เธอพาลูกไปตรวจเลือดมาก่อน เธอได้พยายามสอบถามกับโรงเรียนว่าใช้ผลเลือดฉบับเก่าได้หรือไม่ แต่ทางโรงเรียนปฏิเสธ โดยบอกให้เธอพาลูกไปตรวจเลือดมาใหม่และนำผลการตรวจที่เป็นปัจจุบันมายืนยัน

แถลงการณ์ระบุอีกว่า ดังนั้น เพื่อให้ลูกของเธอได้เข้าเรียน เธอจึงแจ้งกับครูว่า ทางโรงพยาบาลคงไม่ตรวจให้ เนื่องจากเคยตรวจหาการติดเชื้อฯ แล้วและไม่พบว่ามีเชื้อเอชไอวี แต่หากโรงเรียนต้องการผลเลือดครั้งใหม่ ทางโรงเรียนก็ต้องทำหนังสือถึงโรงพยาบาล ซึ่งการกระทำดังกล่าวของผู้ร้องนั้นถือเป็นการถูกบังคับให้ยินยอมด้วยเหตุการณ์เฉพาะหน้า เพื่อให้ลูกของเธอมีสิทธิเข้าเรียนหนังสือเหมือนเช่นเด็กคนอื่นๆ เนื่องจากไม่มีทางเลือก และโรงเรียนไม่ยอมรับผลเลือดฉบับเก่า พร้อมกันนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา โรงเรียนได้มาพบผู้ร้องเรียนที่บ้านและแจ้งว่าจะรับลูกของเธอเข้าเรียน และต้องการให้จบเรื่องนี้ โดยบอกให้เธอร่างหนังสือและเซ็นยินยอมว่าที่นำลูกไปตรวจเลือดนั้น เกิดจากความสมัครใจของแม่เอง โดยทางโรงเรียนไม่ได้บังคับแต่อย่างใด

“แม้โรงเรียนจะรับลูกของผู้ร้องเข้าเรียนแล้ว ซึ่งนั่นเป็นสิทธิที่เด็กมีและพึงได้รับมาตั้งแต่ต้นโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขเรื่องการตรวจเลือด แต่สิ่งที่โรงเรียนควรจะต้องถูกตรวจสอบคือ การให้เด็กไปตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีก่อนสมัครเข้าเรียน ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกของผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ก็ตาม การที่โรงเรียนปฏิบัติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นการกระทำที่ผิดต่อทั้งนโยบายกระทรวงศึกษาธิการและนโยบายของประเทศ” แถลงการณ์ระบุ

Advertisement

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image