นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า วันที่ 20 มีนาคม ของทุกปี สหประชาชาติ (UN) ได้กำหนดให้เป็นวันความสุขสากล (The International Day of Happiness) และล่าสุดยังได้จัดทำรายงานการรวบรวมสถิติความสุขโลกประจำปี 2559 พบว่า ประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศที่มีความสุขอันดับ 1 ของโลก ส่วนประเทศที่มีความสุขท้ายสุดที่อันดับ 157 คือ สาธารณรัฐบุรุนดี ส่วนประเทศไทยมีความสุขอยู่ลำดับที่ 33 ของโลก ขยับขึ้นจากลำดับที่ 34 ในปี 2558 และอันดับที่ 36 ในปี 2556 โดยยังคงอยู่ในลำดับที่ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ ทั้งนี้ คะแนนความสุขจากการสำรวจเป็นผลจากปัจจัยต่างๆ มากมาย ทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยรายงานความสุขโลกได้สรุปผลการวิเคราะห์ไว้ว่า ปัจจัยกำหนดระดับความสุขของแต่ละประเทศ ขึ้นกับปัจจัยสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ 1.ระดับรายได้ 2.จำนวนปีสุขภาพดี 3.การมีคนช่วยเหลือยามต้องการ 4.ความมีอิสรภาพ และ 5.ระดับการแพร่ระบาดของคอร์รัปชั่น ซึ่งการที่ประเทศไทยมีความสุขดีขึ้นต่อเนื่อง อาจอธิบายได้ว่า ปัจจัยทั้ง 5 ประการข้างต้นของไทยมีทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศอื่น จึงทำให้การจัดลำดับดีขึ้น
นพ.เจษฎากล่าวอีกว่า ยังอาจอธิบายได้จากผลการสำรวจความสุขคนไทยที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจากความร่วมมือระหว่างกรมสุขภาพจิต สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ด้วยแบบสำรวจสุขภาพจิตคนไทย ฉบับสั้น 15 ข้อ ที่พบว่า การจัดสรรเวลาสำหรับงาน ชีวิตส่วนตัว ครอบครัวได้ดี มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี อาศัยอยู่ในชุมชนที่ปลอดภัย เป็นปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ที่ส่งผลต่อความสุขของคนไทย โดยพบว่า การจัดสรรเวลาสำหรับงาน ชีวิตส่วนตัว และครอบครัวได้ดีจะมีความสุขมากกว่า 4.2 เท่า ขณะที่การมีสุขภาพดีจะมีความสุขมากกว่า 3.9 เท่า และการอาศัยอยู่ในชุมชนและสังคมที่ปลอดภัยจะมีความสุขมากกว่า 2.9 เท่า รวมทั้งยังพบว่า การมีสายสัมพันธ์ที่ดีมีแรงเกื้อหนุนทางสังคม ทั้งการมีเพื่อนหรือคนในสังคมคอยช่วยเหลือยามที่ต้องการ มีครอบครัวที่มีความรัก เอื้ออาทรต่อกัน ตลอดจนยึดหลักศาสนา ทำสมาธิ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขคนไทยเช่นกัน เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ความสุขของประชาชนเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ไม่ใช่เพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่รวมถึงการมีสุขภาพที่ดีและสังคมที่แข็งแรงด้วย
“การสร้างความสุขนั้นมีเทคนิคง่ายๆ 3 ใจ คือ 1.สบายใจ คือ การทำใจให้สบาย ไม่เคร่งเครียดจนเกินไป รู้ทันสถานการณ์ที่มากระตุ้นอารมณ์ จัดการอารมณ์ให้เป็นและถูกวิธี ลดอารมณ์โกรธให้ได้ หลีกเลี่ยงความรู้สึกอคติ 2.พอใจ คือ รู้จักพอในสิ่งที่มีอยู่ ใช้ชีวิตเรียบง่าย จัดชีวิตให้ลงตัวสมดุลทั้งด้านสุขภาพ การงาน ครอบครัว และ 3.ภูมิใจ คือ ความภูมิใจในสิ่งที่ตนประสบผลสำเร็จ โดยสิ่งนั้นสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและผู้อื่น เช่น การได้รับการยอมรับ ทำในสิ่งที่รู้ว่าดีเป็นประโยชน์แก่สังคม ได้รู้จักให้และช่วยเหลือผู้อื่น มีจิตใจที่เข้มแข็ง เพื่อให้สามารถปรับและรับสถานการณ์ปัญหาต่างๆ ได้” นพ.เจษฎากล่าว