รอง ผบช.ภ.7 นั่งหัวโต๊ะสอบข้อเท็จจริงกรณีนายตำรวจระดับสูงเอี่ยวคดีหวย 30 ล้านอลเวง

จากกรณีที่มีการอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 เลข 533726 งวดประจำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 จำนวน 1 ชุด 5 ใบ เป็นเงิน 30 ล้านบาท ระหว่างข้าราชการครูกับอดีตข้าราชการตำรวจ และมีการฟ้องร้องกันไปมาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งผ่านมาเป็นระยะเวลาเกือบ 1 เดือน ก็ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของสลากฯ ที่แท้จริงนั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 13.20 น. วันนี้ 26 ธันวาคม ที่ศูนย์ปฏิบัติการสถานีตำรวจภูธรหนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี พล.ต.ต.สมเกียรติ แสงสินศร รอง ผบช.ภ.7 เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล อดีตข้าราชการเกษียณตำรวจ เข้าร้องเรียน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่ามีนายตำรวจระดับสูง ประพฤติตนไม่เหมาะสม ชี้นำคดี และมีการอายัดเงินในบัญชีทั้งที่ไม่มีการสอบสวน โดยใช้เวลาในการสอบข้อเท็จจริงนานกว่า 2 ชั่วโมง และไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าร่วมรับฟังแต่อย่างใด

หลังจากสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จสิ้น พล.ต.ต.สมเกียรติ เปิดเผยว่า พล.ต.ต.กิตติพงษ์ เงามุข รรท.ผบช.ภ.7 ได้สั่งการให้ตนลงพื้นที่มาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ ร.ต.ท.จรูญ ร้องเรียนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากนายตำรวจระดับสูงของจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งในเรื่องของการตรวจสอบเพื่อหาเจ้าของสลากฯ ที่แท้จริง ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอีกชุดขึ้นมาดำเนินการ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง เบื้องต้นยังไม่สามารถระบุได้ว่าข้อร้องเรียนดังกล่าวมีมูลหรือไม่ เพราะเพิ่งจะสอบปากคำไปเพียง 2 ปากเท่านั้น ในเรื่องนี้ตนไม่รู้สึกหนักใจ โดยตรวจสอบไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ โดยจะต้องสอบสวนผู้ที่ถูกร้องเรียนด้วย เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย จากนั้นจะได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบเพื่อพิจารณาต่อไป

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ กล่าวว่า ร.ต.ท.จรูญ ได้มาให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ใน 3 ประเด็น คือ 1.นายตำรวจระดับสูงได้บิดเบือนข้อเท็จจริง โดยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ร.ต.ท.จรูญ ไม่รู้สถานที่และเวลาที่ซื้อสลากฯ ทั้งที่มีสำนวนการสอบสวนอยู่ก่อนแล้ว 2.ความเหมาะสมของการเป็นข้าราชการระดับสูงกรณีที่เรียก ร.ต.ท.จรูญ เข้าไปพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อพูดคุยให้ ร.ต.ท.จรูญ รับสารภาพว่าเก็บสลากฯ ได้ ถ้าหากรับก็จะได้รับส่วนแบ่ง แต่หากไม่รับจะต้องติดคุกตอนแก่ 3.กรณีที่นายตำรวจคนหนึ่งออกหมายอายัดเงินในบัญชีของ ร.ต.ท.จรูญ ซึ่งเป็นการกระทำโดยมิชอบ ทั้งที่ยังไม่มีการสอบสวน และทาง ร.ต.ท.จรูญ ยังไม่ได้ให้ถ้อยคำ รวมทั้งยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด เป็นการฟังความจากฝ่ายเดียวเท่านั้น โดย ร.ต.ท.จรูญ ยืนยันให้ดำเนินการทางวินัยให้ถึงที่สุด

Advertisement

นายษิทรา กล่าวต่อว่า ทาง ร.ต.ท.จรูญ ได้ให้ถ้อยคำไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ส่วนทางคณะกรรมการฯ ก็จะหาพยานหลักฐานต่างๆ พร้อมกับเรียกนายตำรวจระดับสูงทั้ง 2 นาย เข้ามาให้ถ้อยคำ และรวบรวมรายละเอียดเสนอ ผบช.ภ.7 เพื่อพิจารณาว่า จะลงโทษทางวินัยหรือไม่ อย่างไร ตนเชื่อว่าประชาชนทั้งประเทศดูออกว่า กรณีที่นายตำรวจระดับสูงกระทำนั้นเหมาะสมหรือไม่ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ใช่พนักงานสอบสวน อีกทั้งคดีนี้เป็นคดีที่ยอมความไม่ได้ แต่กลับเรียกไปพูดคุยให้จบในลักษณะเช่นนี้ ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่หากผลการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ ชี้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความผิดทางวินัย ก็จะต้องตอบกับสังคมให้ได้

ขณะที่ ร.ต.ท.จรูญ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า มาจนถึงขนาดนี้ คงไม่มีอะไรหนักใจแล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า เฟซบุ๊กของ นายษิทรา ได้มีการโพสต์ข้อความหลังพา ร.ต.ท.จรูญ เข้าให้ถ้อยคำกับคณะกรรมการฯ ว่า “จำที่แม่ค้าคนนึงบอกว่าครูไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มได้ไหม หลังจากกองปราบไปตรวจสอบแล้วไม่มีการกดเงินแต่อย่างใด ล่าสุดครูไปให้การใหม่แล้วว่าไปที่ตู้แต่ไม่กดเงินล่ะครับ แล้วที่พีคกว่านั้นครูไปฟ้องแพ่งว่าตัวเค้าเป็นเจ้าของเงิน 30 ล้าน ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินอายัดเงินไว้ก่อน ซึ่งผมมารู้ตอนไปทำโครงการพี่สอนน้องให้เป็นคนดีของสังคมที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้เลยมาตรวจสอบเอกสารคำฟ้อง แว่วมาว่ามีเซอร์ไพรส์คือนายตำรวจที่กำลังถูกร้องทางวินัยเรื่องการอายัดบัญชีไม่ชอบ มาเบิกความเป็นพยานให้ครูด้วย ซึ่งผมก็ต้องทำคำให้การแก้คดีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดต่อไปครับ”

Advertisement

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image