เมื่อวันที่ 22 มีนาคม นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี กล่าวถึงกรณีเกิดไฟไหม้ป่าอุทยานฯ แก่งกระจาน ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นหลายหมื่นไร่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ ทั้งสัตว์ป่า ต้นไม้ ถูกเผาอย่างไม่สะเทือนความรู้สึกจิตใต้สำนึกของคนที่เผาป่า จึงอยากประณามคนที่อยู่เบื้องหลังที่ส่งเสริมกลุ่มคนไปทำไร่หมุนเวียนในป่าแก่งกระจาน
“ในอดีตที่ผมทำหน้าที่ก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่จุดไฟได้บ้างไม่ได้บ้าง และค่อยๆ ลดลง การปฏิบัติหน้าที่ตอนนั้นเจ้าหน้าที่เหนื่อยมาก แต่ก็คุ้มค่า มีการบุกรุกน้อยลง และไฟป่าไม่ทันได้เกิด แต่มันส่งผลให้คนที่อยู่เบื้องหลัง หรือคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านั้นเสียประโยชน์ ในเรื่องหนทางหากินกับกลุ่มคนที่บุกรุกป่า โดยเฉพาะคนที่ด้อยโอกาส ด้อยสิทธิที่จะมีที่ยืนในแผนดินไทย โดยคนเหล่านี้ต้องหาเงินมาทำบัตรรหัสศูนย์ หรือคนพื้นที่สูง เมื่อได้สิทธิแล้ว ค่ารักษาต่างๆ รัฐรับผิดชอบในเรื่องต่างๆ แต่การได้มาของเงินคือต้องโคนป่า ล่าสัตว์ ปลูกพืชยาเสพติด ผมรู้และต่อสู้มาตลอด จนเป็นที่มาของการเอาเรื่องเท็จต่างๆ โยนใส่จนต้องถูกย้ายออกจากพื้นที่ นั้นคือเป้าหมายที่คนกลุ่มนี้ต้องการ แล้วทำสำเร็จ ตอนนี้ผมคงไม่ต้องบอกว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้” นายชัยวัฒน์กล่าว และว่า กลุ่มป่าแก่งกระจานจะประกาศขึ้นเป็นพื้นที่มรดกโลก แต่ภาคประชาชนหรือเอ็นจีโอ ยื่นข้อเสนอ 6 ข้อ ต่อคณะกรรมการมรดกโลก ที่พอจำได้มีเรื่องต้องจัดที่ทำกินให้กลุ่มชาติพันธุ์ ต้องรับรองเชื้อชาติคนกลุ่มนี้เป็นคนไทย ต้องให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถดำรงชีวิตในป่าได้อย่างอิสระ เดิมคนบ้านโป่งลึก บางกลอย อ.แก่งกระจาน มีประชากร 319 คน ในปี 2541 แต่ปัจจุบันมีมากกว่า 2,000 คน รวมถึงที่ได้บัตรแล้วย้ายออกไปอยู่ อ.สวนผึ้ง ประชากรนี้ ไม่นับในเขตป่าละอู ป่าเด็ง จ.ประจวบคีรีขันธ์ กับ ห้วยกระซู่ ห้วยลิ้นช้าง และห้วยสาริกา จ.เพชรบุรี
นายชัยวัฒน์กล่าวอีกว่า การที่กลุ่มเอ็นจีโอสื่อสารว่ากลุ่มชาติพันธุ์สามารถดำรงชีวิตในป่าแก่งกระจานได้ คือที่มาของการเกิดความเสียหายครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงการเกิดไฟไหม้ป่าครั้งนี้ด้วย ที่แม้จะไม่เห็นคนจุด แต่บอกได้ว่าเกิดจากคนจุดทั้งหมด และว่า การแสดงความเห็นครั้งนี้ เพียงให้รู้ไว้ว่าผืนป่าเป็นของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง
