เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 มกราคม ที่ชุมชนป้อมมหากาฬ เขตพระนคร กทม. เจ้าหน้าที่ กรุงเทพมหานคร นำโดย นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่ากทม. ได้เข้ารื้อถอนบ้านเลขที่ 63 ของนางชุลีพร มะมิตสลิม ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ครึ่งตึกครึ่งไม้ตั้งอยู่ริมคลอง
นางชุลีพร กล่าวว่า ตนสมัครใจที่จะให้กทม.เข้ารื้อถอนบ้านโดยหลังจากนี้จะย้ายไปอยู่อาศัยในสถานที่ซึ่งกทม.จัดเตรียมไว้ให้ในย่านแม้นศรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย กระทั่งเกิดกระแสข่าวว่ากทม. เตรียมเข้ารื้อบ้านเลขที่ 111 ซึ่งอยู่ในรายชื่อบ้านอนุรักษ์ตามข้อตกลงในการประชุมคณะกรรมการหลายฝ่าย โดยมีการหารือกันนานถึง 3 เดือนเมื่อปี 2560 ประกอบด้วยฝ่ายกทม. ชาวบ้าน นักวิชาการ ทหาร และสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ก่อให้เกิดการต่อต้านจากชาวบ้านในชุมชน มีการจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และเตรียมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยมีการแจ้งไปยังนางเตือนใจ ดีเทศน์ คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ และนักวิชาการอีกหลายราย
นายไทวุฒิ ขันแก้ว รองผอ.สำนักการโยธากทม.กล่าวว่าว่าบ้านหลังดังกล่าวอยู่ในแผนการรื้อจริง โดยไม่อยู่ในรายชื่อบ้าน 7 หลัง (9 บ้านเลขที่) ซึ่งกทม. จะอนุรักษ์ไว้ นอกจากนี้ตัวบ้านก็ไม่ได้มีคนอยู่อาศัยแล้ว ส่วนที่ชาวบ้านและนักวิชาการตั้งคำถามว่า การประชุมของคณะกรรมการหลายฝ่ายนาน 3 เดือน เหตุใดตึงไม่ถูกนำผลการประชุมมาใช้ นายไทวุฒิกล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องของมุมมอง ชุมชนมีความเชื่อแบบหนึ่ง ตนทำตามกฎหมาย เพราะพื้นที่นี้เป็นกรรมสิทธิ์ของกทม. ส่วนตัวไม่อยากกดดัน แต่ทำตามหน้าที่ ยืนยันว่าคำนึงถึงประวัติศาสตร์ ไม่ได้ทอดทิ้ง แต่สภาพบ้านไม่เอื้อต่ออการอยู่อาศัย อย่างไรก็ตามเมื่อรื้อแล้วไม่ได้นำไปทิ้ง แต่จะเก็บรักษาไว้
นายไทวุฒิ กล่าวอีกว่า ยังเตรียมรื้อบ้านอีก 2 หลัง คือ บ้านเลขที่ 127/1 และ 113 ซึ่งเจ้าของบ้านสมัครใจย้ายออกทั้งหมด โดยจะมีการข่วยเหลือในการรื้อย้าย รวมถึงดูแลเรื่องที่อยู่อาศัยหลังย้ายออก โดยจัดห้องไว้ให้ในย่านแม้นศรี ยืนยันว่ากทม.พยายามช่วยเหลือชาวบ้านทุกอย่าง
“ตามกฎหมาย ไม่มีสิทธิ์อยู่สักหลัง แต่กทม.ได้ช่วยเหลือชาวบ้านทุกอย่าง เปิดบ้านที่แม้นศรีให้ เด็กที่เรียนแถวนี้ก็ยังให้ได้เรียนในพื้นที่ เรื่องประวัติศาสตร์ไม่ได้จะทิ้ง แต่สภาพของบ้านดูไม่ได้ ไม่พร้อมโชว์ บ้านที่จะรื้อก็รื้อไปเก็บแล้วเอาคุณค่าบางอย่างออกมา โดยคงประวัติศาสตร์ไว้” นายไทวุฒิกล่าว
