ชาญวิทย์ถาม ไล่แล้วได้อะไร ? หนุนชาวป้อมมหากาฬสู้ บอก กทม.ไม่มีสิทธิธรรม

ความคืบหน้ากรณีชุมชนป้อมมหากาฬ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 57 หลังคาเรือน คัดค้านแผนไล่รื้อชุมชนเพื่อพัฒนาพื้นที่รอบป้อมมหากาฬเป็นสวนสาธารณะ ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งยืดเยื้อมานานกว่า 20 ปี โดยล่าสุด กทม.เตรียมออกหนังสือปิดประกาศให้ชาวชุมชนป้อมมหากาฬย้ายออกจากพื้นที่ภายใน ต้นเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ชุมชนได้ออกแถลงการณ์และยื่นข้อเสนอ 5 ข้อต่อ กทม.เพื่อขออยู่ในพื้นที่ต่อ และจะร่วมกับเครือข่ายชุมชน นักวิชาการ จัดเสวนาใหญ่ในวันที่ 27 มีนาคมนั้น

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ศาสตราจารย์ ดร. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักประวัติศาสตร์ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ตนมองไม่เห็นว่าหากกทม.ไล่รื้อชุมชนป้อมมหากาฬออกนอกพื้นที่แล้ว สังคมจะได้ประโยชน์อะไรจากการกระทำดังกล่าว หากจะทำควรทำตั้งแต่ 100 ปีที่แล้ว แต่ไม่ทำ กลับเพิ่งมาไล่ตอนนี้ ในอดีตปล่อยให้มีการทำลายโบราณสถานมากมาย ไม่ใช่เฉพาะในเกาะรัตนโกสินทร์ แต่รวมถึงในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการจับจองที่ดินและออกโฉนด ในเชียงใหม่ก็ปล่อยให้มีการทำลายกำแพงเมือง แล้วเหตุใดจึงมาฟูมฟายในภายหลัง ส่วนตัวมองว่ากทม.ไม่มีสิทธิธรรม เหตุผลต่างๆในการไล่รื้อ ไม่สามารถนำมาอ้างได้ ส่วนชาวบ้านหากผนึกกำลังกัน เชื่อว่าสู้กับภาครัฐได้

“ทำไมไม่ไล่ตั้งแต่ 100 ปีที่แล้ว เขาอยู่มานาน 100 ปี เพิ่งจะมาไล่ ในอดีตปล่อยให้มีมีการทำลายโบราณสถานมาก ไม่เฉพาะกรุงรัตนโกสินทร์เท่านั้น ทั้งในกรุงศรีอยุธยา มีการจับจองที่ดินออกโฉนด ทำลายกำแพงเมืองเชียงใหม่ ลองเอาเชียงใหม่ไปเทียบกับมัณฑะเลย์สิ จะเห็นว่าเจ้าอาณานิคมอังกฤษเก็บรักษาไว้ ในขณะที่เราไม่เก็บรักษา รวมทั้งยังทำลาย แล้วจะมาฟูมฟายอะไรตอนนี้ ชาวบ้านก็ต้องสู้ เมื่อสามารถผนึกกำลังกันจริงๆ เชื่อว่าสู้กับภาครัฐได้ ถ้าสู้ก็ชนะ กทม.ไม่มีสิทธิธรรม เหตุผลของเขาอ้างไม่ได้” ศาสตราจารย์ชาญวิทย์กล่าว พร้อมทั้งท่องคำขวัญที่ว่า ‘เสรีภาพจักสมปอง ต้องต่อสู้’

ด้านชุมชนป้อมมหากาฬ ล่าสุดได้เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของชุมชนว่า ตนไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดมากกว่าการแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่และการต่อสู้จะยังไม่สิ้นสุด จนกว่าจะได้แก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างแท้จริง โดยขอขอบคุณเครือข่ายและบุคคลต่างๆที่ให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ปีแห่งการต่อสู้

Advertisement

“สำหรับชุมชนป้อมมหากาฬ ระยะเวลา 24 ปีของการต่อสู้ของชุมชนนั้นผ่านทั้งคืนวันที่สุขและทุกข์ที่สุดมานับครั้ง ไม่ถ้วน มีพี่น้องร่วมชุมชนล้มหายตายจากไปหลายคน มีภาคีเครือข่าย สถาบันการศึกษาเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เข้ามาทำกิจกรรมกับชุมชนอย่างหลากหลาย มากหน้าหลายตา ขณะเดียวกันสังคมก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของชุมชนป้อมมหากาฬมากขึ้น ขอขอบคุณทุกภาคี ทุกเครือข่าย ทุกคนที่สนใจและมองเห็นคุณค่าของชุมชน…สิ่งที่ชุมชนหวังอย่างที่สุดนั้น ชาวชุมชนไม่ได้เรียกร้องขออะไรมากกว่าไปกว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่ อาศัยบนแนวทางการจัดการร่วม การมีส่วนร่วมของภาครัฐและภาคประชาชน และสำหรับชุมชนแล้ว …การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุดจนกว่าข้อเสนอของชุมชนจะได้รับการเปิดเวที เกิดแนวทางในการแก้ไขร่วมอย่างแท้จริง”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image