จากสภาพอากาศในจังหวัดแพร่ มีอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาในเวลากลางวันและเย็นในช่วงกลางคืน เกษตรกรเริ่มทำการเผาเศษวัชพืชในไร่นาจนลุกลามเข้าป่าซึ่งกำลังมีใบไม้แห้งจำนวนมากทำให้เกิดไฟป่าจนควบคุมไม่ได้ ส่งผลให้ค่าฝุ่นละอองในอากาศเพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในระดับส่งผลกระทบต่อสุขภาพติดต่อกันกว่า 10 วันแล้ว เจ้าหน้าที่หน่วยดับไฟป่าและหน่วยป่าไม้ที่สนธิกำลังกันเข้าดับไฟอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถทำให้สถิติของหมอกควันในอากาศลดลงได้เนื่องจากมีการจุดไฟอย่างต่อเนื่อง
นายพิเชษฐ ไพบูลย์ศิริ ผู้ว่าราชการ จ.แพร่ ต้องเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งจังหวัดเข้าประชุมแก้ปัญหาดังกล่าวเมื่อบ่ายวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา โดยได้กำหนดมาตรการร่วมกันในการหยุดการจุดไฟเผาวัชพืชจนลุกลามเข้าป่า โดยที่ประชุมให้มีการใช้มาตรการเฉียบขาดตามกฎหมาย นอกจากการส่งเจ้าหน้าที่เข้าดับไฟตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว ยังมีหน่วยติดตามหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ
ทั้งนี้ การเผาป่าตามกฎหมาย พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 54 ห้ามมิให้ผู้ใดก่นสร้าง แผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือหรือเข้าครอบครองป่าเพื่อตนเอง หรือผู้อื่น ฯลฯ โดยกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน คือมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่มีการเผาป่าเป็นเนื้อที่เกิน 25 ไร่ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 -100,000 บาท นอกจากนั้นยังมี พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งขาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 ผู้ที่เผาป่ามีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-5 ปี ปรับ 20,000-150,000 บาท และ พ.ร.บ.ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน พ.ศ. 2550 ที่มีเนื้อหาเป็นแผนแม่บทในการจัดตั้งองค์กรมุ่งคุ้มครองความปลอดภัย ป้องกัน และขจัดภัยให้กับประชาชนก็ได้ระบุโทษไว้เช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ไฟป่าใน จ.แพร่ ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง เนื่องจากมีการเผาอย่างต่อเนื่องของประชาชนใน 8 อำเภอ ทำให้เจ้าหน้าที่หน่วยดับไฟป่าต้องทำงานอย่างหนัก การนำมาตรการทางกฎหมายออกมาใช้อาจยังไม่ได้ผลเนื่องจากไม่สามารถหาผู้กระทำผิดได้เนื่องจากยังหาความร่วมมือจากผู้นำในแต่ละชุมชนได้อย่างจริงจัง นอกจากภารกิจการดับไฟป่าแล้วยังมีการเพิ่มหน่วยประชาสัมพันธ์เข้าไปยังหมู่บ้านต่างๆ ในจุดที่มีการเผาป่ารุนแรง เพื่อรณรงค์ให้ข้อมูลภัยจากไฟป่า และทำความเข้าใจกับประชาชนทุกเพศทุกวัยเพื่อหาแนวร่วมแก้ปัญหาต่อไป
