สบส.ออกเกณฑ์คุม’รพ.’รับอุ้มบุญ

เมื่อวันที่ 12 มกราคม น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้มีสถานพยาบาลที่ให้บริการอุ้มบุญถูกต้อง 63 แห่งทั่วประเทศ แยกเป็น ภาคเหนือ 5 แห่ง ใน จ.เชียงใหม่ จ.พิษณุโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 แห่ง ใน จ.นครราชสีมา จ.ขอนแก่น จ.อุดรธานี ภาคใต้ 5 แห่ง ใน จ.สงขลา จ.ภูเก็ต จ.นครศรีธรรมราช ภาคตะวันออก 1 แห่ง ใน จ.ชลบุรี และภาคกลาง 45 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร จ.นนทบุรี จ.ปทุมธานี และล่าสุดได้ออกประกาศแพทยสภา เรื่องมาตรฐานในการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีด้านนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 คือ 1.มีบุคลากรที่ประกอบวิชาชีพให้บริการ ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ และอื่นๆ โดยเฉพาะแพทย์ที่ให้บริการจะต้องได้รับวุฒิบัตรจากแพทยสภาหรือราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ 2.มีสถานที่ เครื่องมือ และอุปกรณ์การแพทย์พร้อม 3.มีคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและจริยธรรมรับผิดชอบไม่น้อยกว่า 4 คน ประกอบด้วย สูตินรีแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ พยาบาล และตัวแทนฝ่ายบริหารให้รายงานผลการประชุมต่อกรมสนับสนุนบริการฯ ทุกปี ในกรณีที่การตั้งครรภ์แทนและใช้ไข่บริจาคต้องผ่านความเห็นของคณะกรรมการชุดนี้ทุกราย และต้องผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยการอุ้มบุญ 4.มีระบบบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการอุ้มบุญตามที่กำหนด ทั้ง 3 ฝ่าย คือ ผู้รับบริการ ผู้ตั้งครรภ์แทน ผู้บริจาคอสุจิหรือไข่ และเก็บรักษาเอกสารไว้ไม่น้อยกว่า 10 ปี กรณีการรับตั้งครรภ์แทน ซึ่งหญิงที่รับต้องเป็นผู้ที่เคยมีบุตรมาแล้วและเป็นสายเลือดเดียวกันกับคู่สามีหรือภรรยาที่มีบุตรยากเท่านั้น รวมทั้งการตั้งครรภ์ที่เกิดจากไข่หรืออสุจิหรือตัวอ่อนบริจาคต้องเก็บรักษาเอกสารไม่น้อยกว่า 20 ปี นับตั้งแต่วันที่เด็กคลอดและอยู่รอดเป็นทารก และ 5.หนังสือแสดงความยินยอม 3 ฝ่าย คือ ผู้รับบริการ ผู้ตั้งครรภ์แทน ผู้บริจาคไข่หรืออสุจิลงนามโดยสมัครใจ ให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกทางการแพทย์ และให้เก็บรักษาฝ่ายละ 1 ชุด

“หากตรวจพบว่าสถานพยาบาลใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมายมีโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 10 ปี หรือปรับ 10,000 -200,000 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทความผิด” น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image