รมช.เกษตร ส่งตัวแทน แถลงแบน พาราควอต แค่ชี้ มีทางเลือกมากมายไม่ต้องใช้สารเคมี

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 18 สิงหาคม ที่ศูนย์การประชุมรัชนีแจ่มจรัส สมาคมสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย นายธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้แทน นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งไม่สามารถเดินทางมาแถลงข่าวได้ เนื่องจากติดภารกิจ ตั้งโต๊ะแถลงข่าว “ข้อเท็จจริงของสารพิษซึ่งควรจะแบนออกจากประเทศไทยโดยเร็ว ทั้งพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส รวมถึงประโยชน์ของเกษตรอินทรีย์ที่ไร้สารพิษ” ซึ่งมี นายชนวน รัตนวราหะ นักวิชาการอิสระ อดีตข้าราชการกรมวิชาการเกษตร นายวรพนธ์ สาสดี ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหนองสามวัง (ปิ่นโตเกษตรอินทรีย์) และนายอำนาจ หมายยอดกลาง ประธานสหกรณ์กสิกรรมไร้สารพิษ ร่วมอภิปราย ตั้งโต๊ะแถลงข่าว “ข้อเท็จจริงของสารพิษซึ่งควรจะแบนออกจากประเทศไทยโดยเร็ว ทั้งพาราควอต ไกลโฟเซตและคลอร์ไพริฟอส รวมถึงประโยชน์ของเกษตรอินทรีย์ที่ไร้สารพิษ” ใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมง

นายชนวน กล่าวว่า ในฐานะผู้คร่ำวอดในวงการเกษตรมากว่า 60 ปี ตั้งแต่ปี 2500 อดีตไม่มีความรู้ ทำเกษตรใช้สารเคมี โปรยทางอากาศเพื่อกำจัดศัตรูพืช ต่อมากลับเป็นเรื่องน่าเศร้าสลดพบว่า การใช้สารเคมีทำให้สิ่งมีชีวิตโดยรอบตายเรียบ ส่วนผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมทยอยล้มป่วยและตาย จากนั้นจึงเปลี่ยนแนวคิดหันมาทำเกษตรแบบไร้สารเคมี พยายามศึกษาและเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์และเกษตรยั่งยืน จนมั่นใจว่าทำเกษตรไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมี ปัจจุบันลงมือทำมา 30 ปีแล้วและเห็นว่าการกำจัดศัตรูพืชสามารถทำได้หลายวิธี อาทิ การถากถาง ใช้ระบบการปลูกพืชระหว่างร่อง ปลูกพืชคลุมดิน วัสดุคลุมดิน ใช้สัตว์เลี้ยง ใช้สารเคมีแต่เป็นวิธีของคนหมดปัญหา ซึ่งเกษตรกรไทยเองก็ถูกแนะนำให้สารเคมี เพราะเป็นวิธีที่สบาย ส่วนเกษตรกรผู้ต่อต้านไม่ให้แบนการใช้พาราควอต และสารเคมีอื่นบอกว่าทำแล้วจะเจ๊ง ขาดทุนและอยู่ไม่ได้นั้น ไม่จริง อย่าไปเชื่อ ผู้นั้นอาจไม่มีประสบการณ์ทำเกษตรมากพอ

“เกษตรกรไทยมีทางเลือกไม่ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช ใครที่ไม่เห็นด้วยบอกจะเป็นจะตายคงไม่ใช่ เพราะประโยชน์ของการควบคุมวัชพืชแบบไร้สารเคมีนั้น ปลอดภัยต่อมนุษย์ สัตว์และสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มกำไรจากพืชที่ปลูกในร่องแถว มีรายได้เพิ่ม พืชแซมช่วยอนุรักษ์ความชื้นในดินอยู่ได้นานในฤดูแล้ง เป็นต้น” นายชนวน กล่าว

Advertisement

นายธีระ กล่าวว่า ประเทศไทยมีการใช้ยาฆ่าแมลงเยอะเป็นอันดับ 4 และยากำจัดศัตตรูพืชเป็นอันดับที่ 5 ของโลก ซึ่งหลังจากวันที่ 23 พฤษภาคม ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติไม่แบนสารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอต ไกรโฟเซต และคลอร์ไพริฟอสตามมติกระทรวงสาธารณสุขนั้น ภาคีเครือข่ายก็มีความตระหนักในเรื่องนี้โดยได้มีการยื่นหนังสือร้องเรียนต่างๆ ซึ่ง นายกรัฐมนตรี ก็ยืนยันว่าเห็นแก่ประโยชน์ของประชาขนมากกว่าบริษัทสารเคมี จนมีการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาพิจารณา ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ แต่พบว่า มาจากหน่วยราชการ 11 คน นักวิชาการเกษตร 4 คน ภาคประชาชน 1คน และตัวแทนที่สนับสนุนการใข้สารเคมีต่อ 5 คน สัดส่วนดังกล่าวไม่เป็นธรรม โดยที่ผ่านมามีข้อมูลสารทดแทนมากมายที่สามาใช้แทนได้ ทำไมไม่เอาข้อมูลนี้มาใช้ โดยขอยืนยันว่ามีทางเลือกมากมายที่ไม่ต้องใช้สารเคมี ประเทศไทยไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมี

นายอำนาจ กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้ คือ รัฐบาลต้องการถอดสารเคมีทั้ง 3 ชนิดแต่กลับพบมากคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่ตั้งขึ้นหลายชุดมีมติไม่ให้ถอน สะท้อนว่ากรรมการใหญ่กว่า รัฐบาล ภาคประชาชนควรรวมตัวกันฟ้องร้องคณะกรรมชุดทุกชุดที่มีมติไม่ยอมถอน ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหมาะสมในการเป็นแหล่งอาหารมากที่สุดไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวเกิน และภัยพิบัติน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แต่หน่วยงานภาครัฐต่างๆกลับหลงผิดในการใช้สารเคมีต่างๆ ทำให้คนป่วยล้นโรงพยาบาลจากแนวคิดผิดๆ ซึ่งหากมีการจัดการกับระบบดีๆ ประเทศไทยกลายเป็นมหาอำนาจไปแล้ว ไม่ใช่ประเทศที่มีคนป่วยล้นโรงพยาบาล งบประมาณ การคลัง หรือในสิทธิ์หลักประกันสุขภาพไม่เพียงพอในการดูแลเช่นนี้

นายวรพันธ์ กล่าวว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนหนองสามวัง ตั้งมาแล้วเป็นปีที่แล้วเพราะเป็นหนี้สินและใช้สารเคมีมายาวนาน โดยเฉพาะส้ม ต้องยอมรับว่าใช้สารเคมีมาก ถึงขั้นที่ส้มเขียวหวานถูกฉีดยาแก้อักเสบที่ทานในคนเข้าสู่ลำต้น ทำให้ปัจจุบันรสชาติส้มเปลี่ยนและขม ไม่ปลอดภัย อดีตมองว่าสารเคมีใช้แล้วได้ผลดี ใช้ยาฆ่าหญ้าฉีดเข้าผลส้ม เพราะคำนึงแต่กำไร ได้ผลผลิตสูง ไม่คำนึงถึงผลกระทบจากสารเคมีที่เกิดขึ้น จนกระทั่งผลผลิตไม่ดีเหมือนเดิมเพราะเกิดปัญหาส้มหล่น ท้ายสุดหันมาใช้เกษตรอินทรีย์ พยายามปรับเปลี่ยนวิธีจนอยู่รอด

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image