เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรง
ประการที่หนึ่ง กระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งคณะกรรมการปฏิรูปสาธารณสุข คณะกรรมการปฏิรูปทางสังคมและคณะกรรมการปฏิรูปทางทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ยังคงยืนยันการแบนสารพิษทั้งสามตัว พาราควอต ไกลโฟเสต และ คลอไพรีฟอส นอกจากนี้ ยังสนับสนุนอย่างเต็มที่ในเรื่องของเกษตรธรรมชาติยั่งยืน ซึ่งรวมไปถึงสารพิษฆ่าแมลง ซึ่งตกเป็นประเด็นในวันที่ 28 กันยายนด้วย
ประการที่สอง ในขณะที่ไม่สามารถแบนการใช้และไม่สามารถลดละการใช้สารพิษฆ่าแมลงต่างๆอีก 280 ชนิดทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังคงให้ความรู้ประชาชนเรื่องการล้างแต่ข้อสำคัญ คือ เน้นย้ำว่าล้างอย่างไรก็ไม่หมดและสิ่งที่หลงเหลือเมื่อบริโภคแล้วยังคงสะสมและยังก่อให้เกิดโรคต่างๆตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งโรคมะเร็งไต สมองและส่งผลถึงเด็กแรกเกิดและเด็กที่กำลังเจริญเติบโต
ทั้งนี้ ข้อมูลณวันที่ 28 กันยายนที่ทำการตรวจกว่า 7,000 ตัวอย่างนั้นต้องมีความเข้าใจว่าตัวอย่างที่เก็บตรวจจากตลาดมีการปนเปื้อนสูงถึง 30-35% ส่วนที่ค่อนข้างดีนั้นจะมาจากการเก็บตัวอย่างที่แปลงและที่มีการผลิตที่ควบคุมแล้ว โดยมีการปนเปื้อน10-15% และการตรวจนั้นไม่ได้ควบรวมการตรวจ พาราควอท ไดลโฟเสท และการตรวจไม่สามารถตรวจสารฆ่าแมลงได้ทั้ง 280ชนิด แต่จะเพิ่มมาตรฐานในการตรวจให้ครอบคลุมได้ถึง 104 ชนิด
ประการที่สาม ทางกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะเพิ่มความเข้มข้น ในการตรวจในพื้นที่และทบทวนระบบการเฝ้าระวังโดยจะต้องมีการพัฒนาชุดการตรวจที่สามารถระบุสารพิษได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และนอกจากนั้นในอนาคตอันใกล้จะได้มีการประกาศตลาดร้านค้าและแหล่งการเพาะปลูกที่ไม่มีสารเคมีพิษปนเปื้อนเหล่านี้
ประการที่สี่ เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขไม่มีอำนาจผลักดันในระเบียบการใช้สารพิษเหล่านี้จึงขอให้ประชาชนคนไทยทุกคนร่วมกันผลักดันและต่อต้านการใช้สารเคมีสารพิษในพืชผักผลไม้และในอาหารและผลักดันต่อผู้บริหารของประเทศ
ประการสุดท้าย เพื่อเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนนั่นก็คือระบบสาธารณสุขและสุขภาพของประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปกป้องและต้องกำจัดต้นตอของอันตรายต่อสุขภาพของคนไทยทั้งนี้เพื่อทำให้หลักประกันสุขภาพอยู่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับคนไทยโดยเฉพาะคนที่ยากจนและด้อยโอกาส