‘ไบโอไทย’ จี้กรมทรัพย์สินทางปัญญาปกป้องผลประโยชน์ชาติจาก ‘สิทธิบัตรกัญชา’

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูลนิธิชีววิถี หรือไบโอไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก “BIOTHAI” ตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ถึงการปล่อยให้มีการยื่นขอจดสิทธิบัตรสารสกัดกัญชาจากธรรมชาติ ซึ่งก่อนหน้านี้มีกระแสถูกนักวิชาการต่อต้านและกรมทรัพย์สินทางปัญญาเตรียมจะแถลงข่าว

สำหรับข้อความดังกล่าว ระบุว่า

“กรมทรัพย์สินทางปัญญาแถลงวันนี้เกี่ยวกับเรื่องสิทธิบัตรกัญชา โดยที่มีการปล่อยให้มีการยื่นขอจดสิทธิบัตรกัญชา ทั้งๆ ที่ขาดความใหม่ เพราะมาจากความรู้จากท้องถิ่น ละเมิดข้อห้ามในกฎหมายสิทธิบัตรของไทยเองที่ห้ามมิให้จดสิทธิบัตรสารสกัดจากพืช ตลอดจนการละเลยไม่คุ้มครองทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของประเทศ ทั้งๆ ที่เป็นหลักการสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศในปัจจุบัน

Advertisement

สิ่งที่ประชาชนควรตั้งคำถามกับการทำหน้าที่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญามี 3 ระดับ คือ

1) ปัญหาแนวปฏิบัติของกรมทรัพย์สินทางปัญญาว่า ทำไมจึงอนุญาตให้มีการเดินหน้าคำขอสิทธิบัตรซึ่งเกี่ยวข้องกับสารสกัดจากพืช ซึ่งขัดมาตรา 9(1) ที่ระบุว่าจุลชีพและส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของจุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติ สัตว์ พืช หรือสารสกัดจากพืชหรือสัตว์ เนื่องจาก cannabinoid เป็นสารสกัดจากพืช เช่นเดียวกันกับการอนุญาตให้มีการอ้างสิทธิบัตรจากสารสกัดกัญชาในการรักษาโรคลมบ้าหมู ทั้งที่ผิดมาตรา 9 เพราะเป็นความรู้แพทย์แผนไทยโบราณ เป็นต้น

2) ปัญหาการคุ้มครองผลประโยชน์ของประเทศภายใต้สนธิสัญญา PCT โดยนอกเหนือจากการยื่นขอสิทธิบัตรในประเทศไทยแล้วนั้น ยังมีในกรณีที่คำขอสิทธิบัตรกัญชาซึ่งมีจำนวนหนึ่งผ่าน PCT หรือสนธิสัญญาความคุ้มครองสิทธิบัตรระหว่างประเทศ กรมทรัพย์สินทางปัญญาเคยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นภาคีในสนธิสัญญานี้ จนประสบผลสำเร็จโดยอ้างว่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิจัยไทย แต่ในทางปฏิบัติเรากลับพบคำขอสิทธิบัตร PCT จากต่างประเทศมากถึง 28,518 สิทธิบัตร แต่มีคำขอสิทธิบัตรจากประเทศไทยไปต่างประเทศเพียง 447 สิทธิบัตร (ข้อมูล ณ 31 ก.ค. 2559) เท่านั้น

Advertisement

หน้าที่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงมีความจำเป็นต้องใช้บทบาทของตนในฐานะที่ประเทศไทยเป็นภาคีใน PCT โดยทำหน้าที่ในการตรวจสอบคัดค้านคำขอสิทธิบัตรในต่างประเทศเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของประเทศด้วย โดยเฉพาะในกรณีคำขอสิทธิบัตรนั้นนำเอาทรัพยากรชีวภาพหรือภูมิปัญญาพื้นบ้านไทยไปจดสิทธิบัตร ทั้งในกรณีกระท่อมและกัญชา เนื่องจาก หากคำขอสิทธิบัตรนั้นมีผลจะทำให้เป็นการขัดขวางการพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์ของประเทศในต่างประเทศในระยะยาวด้วย

3) ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยนอกเหนือจากการปฏิบัติหน้าที่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาในข้อ 1 และ 2 คือความจำเป็นในการแก้กฎหมายสิทธิบัตรของไทย ให้คุ้มครองทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยเอง ซึ่งมีเสียงเรียกร้องจากนักวิชาการและองค์กรสาธารณประโยชน์ให้มีการแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตร ให้คำขอสิทธิบัตรต้องแสดงที่มาของทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อป้องกันกรณีโจรสลัดชีวภาพ และสร้างกลไกการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ แต่กรมทรัพย์สินทางปัญญากลับละเลยไม่ดำเนินการดังกล่าว ทั้งๆที่เป็นหลักการสำคัญในอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ

ปัจจุบันในกฎหมายสิทธิบัตรของหลายประเทศ เช่น ในสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ จีน ฯลฯ เป็นต้น มีการระบุถึงเงื่อนไขดังกล่าวอย่างชัดเจน ส่วนในหลายประเทศก็มีข้อกำหนดดังกล่าวในกฎหมายอื่น ซึ่งจะมีผลต่อกฎหมายสิทธิบัตร เป็นต้น

รัฐบาลประกาศว่าจะดำเนินนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งมาจากการวิเคราะห์จุดแข็งของประเทศคือ ความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่แทนที่เราจะเห็นการส่งเสริมเงื่อนไขให้มีการวิจัยและพัฒนา และการส่งเสริมการปกป้องและพัฒนาความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่สิ่งที่เราเห็นในทางปฏิบัติคือ การใช้วาทกรรมสวยหรู แต่เนื้อหาที่แท้จริงคือการบ้าการลงทุนจากต่างชาติ และเอื้ออำนวยอุตสาหกรรมจากบรรษัทยักษ์ใหญ่ มิได้วางรากฐานให้มีการพัฒนาความเข้มแข็งของคนในประเทศ มิหนำซ้ำ ยังทำลายการวิจัยและพัฒนาโดยกระบวนการมอบสิทธิบัตรที่ไม่ชอบแก่บริษัทยา และสถาบันวิจัยซึ่งส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ

ติดตามคำชี้แจงของกรมทรัพย์สินทางปัญญาวันนี้! ”

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image