ที่มา | น7 นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 3 ม.ค.2562 |
---|
“สัปดาห์ รู้รักษ์ ตระหนักใช้ยาต้านแบคทีเรีย หรือ Antibiotic Awareness Week” เป็นกิจกรรมที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ความสำคัญในการรณรงค์ให้ใช้ยาปฏิชีวนะ ยาต้านแบคทีเรียอย่างสมเหตุสมผลและมีความรับผิดชอบ เพื่อให้ยายังคงมีประสิทธิผลในการรักษา และเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเชื้อดื้อยา โดยงานนี้หลายประเทศทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียต่างให้ความสนใจ ขณะที่ไทยเป็นประเทศต้นๆ ในเอเชียที่เริ่มจัดงานนี้มาตั้งแต่ปี 2556 โดยปีนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับบริษัท ยิบอินซอย จำกัด กลุ่มใบไม้ในเมือง และศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จัดกิจกรรม “ใบไม้รักษ์โลก Episode 3 : ยา อย่า Yah!” บริเวณลานใบไม้ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ และป้องกันปัญหาเชื้อดื้อยา เนื่องในสัปดาห์รู้รักษ์ ตระหนักใช้ยาต้านแบคทีเรีย ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ซึ่งในแต่ละปีจะมีประเด็นหลักแตกต่างกันไป
ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส.กล่าวว่า ปัญหาการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ ไม่ถูกต้องและเหมาะสม ทำให้แบคทีเรียปรับตัวดื้อยาและทำให้ยาหลายชนิดไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคที่เคยรักษาได้อีกต่อไป สอดคล้องกับสถานการณ์ทั่วโลก พบมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาราวปีละ 700,000 คน โดยประเทศแถบเอเชียมีคนเสียชีวิตมากที่สุดถึงปีละ 4.7 ล้านคน หากไม่เร่งแก้ไขคาดปี 2593 จะมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 10 ล้านคน
“ขณะที่ประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประเมินว่า คนไทยติดเชื้อแบคทีเรียปีละ 80,000 คน และเสียชีวิตปีละ 38,000 บาท คิดเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยรวมถึงปีละ 4 หมื่นล้านบาท ทำให้ต่อมาคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้มีแผนยุทธศาสตร์จัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย ปี 2560-2564 โดยมีเป้าหมายภายในปี 2564 ให้ 1.ลดการป่วยจากเชื้อดื้อยาร้อยละ 50 2.การใช้ยาต้านจุลชีพสำหรับมนุษย์และสัตว์ลดลงร้อยละ 20-30 3.ประชาชนมีความรู้เรื่องดื้อยา และตระหนักการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสมเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 และ 4. ไทยมีระบบจัดการ การดื้อยาต้านจุลชีพที่มีสมรรถนะตามเกณฑ์สากล” ทพ.ศิริเกียรติ กล่าว
ทพ.ศิริเกียรติ กล่าวว่า โดยหลักเน้นให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ ทั้งในปศุสัตว์ ประมงและการปลูกพืช และกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ควบคุมการจำหน่ายยาปฏิชีวนะตามร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ ร้านโชห่วยและร้านชำ โดยเฉพาะพื้นที่ชานเมืองและท้องถิ่น รวมถึง สธ. โดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เร่งทบทวนทะเบียนตำรับยาเก่าที่มีสูตรและรูปแบบที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ส่วนการสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนตระหนักและมีความรู้ความเข้าใจ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องร่วมดำเนินการ โดยปัจจุบันมี กพย.เป็นเจ้าภาพจัดงานมาต่อเนื่องทุกปี
“ช่วง 2-3 ปีหลัง เห็นความเปลี่ยนแปลงประชาชนเริ่มตระหนักใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสม พบประชาชนเริ่มมีความเข้าใจในการลดใช้ยาต้านแบคทีเรียโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะโรคหวัด เจ็บคอและโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันหรือท้องเสีย ซึ่งมีผลวิจัยระบุชัดเจนว่าร้อยละ 80 เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ใช่เชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นการทานยาต้านแบคทีเรียโดยไม่จำเป็น ทำให้เกิดความเสี่ยงเกิดเชื้อดื้อยา ไม่รักษาโรคและทำลายภูมิดีในร่างกาย ส่วนข้อแนะนำต่อประชาชนนั้น ขอให้สอบถามแพทย์หรือผู้จ่ายยาให้มั่นใจทุกครั้งว่าโรคที่เป็นเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือไม่ เพื่อปฏิเสธรับยาต้านแบคทีเรีย” ทพ.ศิริเกียรติกล่าว และว่า ทั้งนี้ สสส. กพย.และภาคีเครือข่าย คาดหวังให้ประชาชนตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาเชื้อดื้อยาและเกิดพฤติกรรมการใช้ยาต้านแบคทีเรียอย่างถูกต้อง ส่วนผู้จ่ายยา เภสัชกรตามร้านขายยาต้องให้ความรู้ประชาชนและจ่ายยาให้ตรงกับโรค รวมถึงรัฐต้องออกมาตรการควบคุมร้านขายของชำทั่วประเทศ ห้ามขายยาต้านแบคทีเรีย
ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา กพย.กล่าวว่า กพย.เริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี 2556 โดยแต่ละปีจะมีหลายภาคส่วนร่วมจัดงานขึ้น ซึ่งทั่วโลกยังให้ความสนใจและมีมากกว่า 80 ประเทศร่วมจัดงานปีนี้ เช่นเดียวกับไทยที่ตอบสนองการป้องกันปัญหาดังกล่าว สำหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อยาแนวโน้มยังไม่ลดลงทันที เพราะแผนยุทธศาสตร์เพิ่งประกาศเมื่อปี 2560 โดยเป้าหมายการป่วยจากเชื้อดื้อยาต้องลดลงร้อยละ 50 มองว่าตั้งเป้าสูงเกินไป เว้นแต่จะมีมาตรการเข้มข้นต่อเนื่อง ขณะนี้เริ่มมีความหวัง เพราะสื่อมวลชนตื่นตัว ทำให้เกิดการสื่อสารวงกว้างต่อประชาชน เช่น คนเริ่มรู้จักเชื้อดื้อยา เริ่มปฏิเสธรับยาต้านแบคทีเรีย หน่วยงานเกี่ยวข้องเริ่มทำงานเชิงรุก ฯลฯ ทว่าสิ่งสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ต้องสร้างองค์ความรู้และความเข้าใจตั้งแต่วัยเด็ก โดยกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะต้องเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับปัญหาเชื้อดื้อยาและยาต้านแบคทีเรียในหลักสูตรการเรียนการสอน
“ตอนนี้คนไทยไม่ได้รู้สึกว่าเชื้อดื้อยาเป็นปัญหา และควรทานยาต้านแบคทีเรียในกรณีจำเป็น ขณะที่หลายประเทศต่างให้ความสำคัญมาก เช่น ออสเตรเลียปลูกฝังและรณรงค์ให้ประชาชนตั้งแต่วัยเรียนว่าการใช้ยาต้านแบคทีเรียไม่ถูกต้องทำให้ดื้อยา การดื้อยาทำให้ต้านแบคทีเรียไม่ได้ผลและเมื่อเกิดโรคติดเชื้อบางอย่างไม่อาจรักษาได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาต้านแบคทีเรียต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เป็นต้น ดังนั้น จะทำอย่างไรให้คนไทยตระหนักรู้ว่ายาต้านแบคทีเรียนั้นเป็นอันตราย ต้องใช้อย่างระมัดระวัง ตลอดจนยาอื่น เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาลดความอ้วน ซึ่งคนไทยนิยมหาซื้อมากินอย่างไม่สนใจว่า ร่างกายจะผุพัง แทนที่จะมีการป้องกันตั้งแต่ต้นทาง” ผศ.ภญ.นิยดา กล่าว
ผศ.ภญ.นิยดา กล่าวว่า โรคหวัด โรคท้องเสียและแผลสดจากอุบัติเหตุ หรือแผลเลือดออกเป็นโรคที่รักษาได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เนื่องจากร้อยละ 80 ของโรคไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะโรคหวัดที่คนไทยส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจผิดว่า เป็นหวัดเจ็บคอ ต้องกินยาต้านแบคทีเรียถึงจะหายหรือที่ชาวบ้านเข้าใจผิดและเรียกผิดว่าเป็น “ยาแก้อักเสบ” แต่ความจริงแล้ว การกินยาต้านแบคทีเรียเมื่อเป็นหวัดเจ็บคอ นอกจากจะไม่ช่วยให้หายเร็วขึ้น ยังทำให้เกิดเชื้อดื้อยาขึ้นในร่างกาย หากวันข้างหน้ามีอาการป่วยหนักจากการติดเชื้อในอวัยวะที่สำคัญ จะทำให้ยาใช้ไม่ได้ผลและส่งผลอันตรายต่อชีวิต
นอกจากนี้ ผศ.ภญ.นิยดา กล่าวถึงการรักษาโรคหวัดว่า อาการไข้หวัดอาจมี อาการไข้ 3-4 วัน น้ำมูก 5-7 วัน เจ็บคอ 4-5 วันและไอนานถึง 7-21 วัน ซึ่งจะหายเป็นปกติ โดยพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำอุ่นมากขึ้น เพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น เพราะเมื่อร่างกายมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค อาการโรคหวัดจะหาย กรณีที่มีอาการมาก อาจใช้ยารักษาตามอาการที่จำเป็น เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาบรรเทาอาการไอ และไม่แนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคหวัด เพราะอาจเกิดอาการแพ้ยา เช่น ปากดำ หอบ หายใจติดขัด หรือมีผลข้างเคียงจากยาปฏิชีวนะรุนแรงถึงชีวิต เสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ทำให้กลายพันธุ์เป็นเชื้อดื้อยาและเป็นกรรมพันธุ์ส่งต่อบุตรหลาน
จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับประเทศไทยที่ต้องแสดงความมุ่งมั่นในการร่วมแก้ไขปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพเช่นเดียวกับนานาประเทศทั่วโลก