เมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่ศาลาว่าการ กทม. นายชาตรี วัฒนเขจร ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร (กทม.) แถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ยื่นคำร้องต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการป้องกันและทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบโครงการประกวดราคาจ้างเหมาเอกชนกำจัดมูลฝอยโดยระบบเตาเผามูลฝอยขนาดไม่น้อยกว่า 1,000 ตันต่อวัน ที่ศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขมและอ่อนนุช ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) วงเงินโครงการละ 6,570 ล้านบาท รวม 2 โครงการ มูลค่า 13,140 ล้านบาท
นายชาตรี แถลงว่า 1.กทม.ได้เลือกใช้เตาเผาขยะขนาดใหญ่มีเทคโนโลยีที่เหมือนกับต่างประเทศ มีความเหมาะสมที่จะเผาขยะสด ซึ่งแตกต่างเตาเผาขยะในท้องถิ่นอื่นๆ ที่เป็นระบบเผาขยะที่ไม่มีความชื้น จึงอาจจะทำให้ค่าเตาเผาขยะ กทม.ราคาสูงกว่า 2.กทม.มีปัจจัยต้นทุนในการตั้งเตาเผาขยะแตกต่างจากท้องถิ่นอื่น เช่น ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำจึงใช้ต้นทุนสูงกว่าในต่างจังหวัด 3.กรณีการผลิตกระแสไฟฟ้าและขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งวประเทศไทย (กฟผ.) ต้องเดินกระแสไฟใต้ดิน แตกต่างจากเตาเผาขยะในต่างจังหวัดสามารถเดินสายบนดินได้ 4.ค่ารับซื้อไฟฟ้าในกรุงเทพฯ สูงกว่า 10 เมกกะวัตต์ แต่ในต่างจังหวัดเป็นเตาเผาขยะเล็กไม่เกิน 10 เมกกะวัตต์
“เตาเผาขยะในต่างจังหวัดมีรายได้มากกว่าเตาเผาขยะในกรุงเทพฯ เพราะมีต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าที่น้อยกว่า ส่วนประเด็นเรื่องการปรับราคาค่าจ้างเอกชนให้เผาขยะนั้น ของ กทม. มีสัญญาว่าจ้างเอกชนตลอด 20 ปี จะไม่มีการปรับราคา ซึ่งแตกต่างจากต่างจังหวัดที่จะมีการปรับค่าจ้างเอกชนเผาขยะได้ โดยของ กทม.มีค่าจ้างเอกชนกัน 900 บาทต่อตัน และที่เลือกทำสัญญา 20 ปี ก็เพื่อให้เกิดความคุ้มทุนในการดูแลรักษาโรงงาน โดยตลอดสัญญา 20 ปี นั้นเตาเผาขยะจะต้องใช้งานได้” นายชาตรี กล่าวและว่า กทม.ได้สืบราคาจาก 3 บริษัท ปรากฏข้อมูลว่าทั้ง 3 บริษัท มีผลงานในต่างประเทศจริง และมีผลงานเป็นเตาเผาขยะแบบที่ กทม.ต้องการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับขั้นตอนการประกวดราคาเตาเผาขยะนั้น ขณะนี้ได้มีการประกาศเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้างบนเว็บไซต์กรมบัญชีกลาง เพื่อให้บริษัทที่มีความเหมาะสมเสนอราคาและผลิตภัณฑ์เข้ามา โดยคาดว่าในวันที่ 21 มกราคมนี้ จะเห็นรายชื่อบริษัทที่ร่วมเสนอราคาทั้งหมด
