‘วิษณุ’ สักขีพยานเอ็มโอยู ‘แพทย์ทางเลือกฯไทย-จีน’ แนะชงชาร้อนแจกในสภาฯ แก้ร้อนใน เหตุการเมืองแรง

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาวัฒนธรรมการแพทย์ทางเลือกสมัยใหม่ระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 1 ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สภาวัฒนธรรมไทย-จีน และส่งเสริมความสัมพันธ์ ร่วมกับศูนย์เผยแพร่วัฒนธรรมระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สภาการแพทย์แผนไทย และภาคเอกชน บริษัท เจียตัวเป่า จำกัด บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-31 พฤษภาคม 2562 ทั้งนี้ ในงานดังกล่าวมี พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) นายพินิจ จารุสมบัติ ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ และอดีตรองนายกรัฐมนตรี นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ นางหชาง อยู่เหมิง อุปทูตฝ่ายวัฒนธรรมสถานทูตจีนประจำประเทศไทย พล.อ.ชาญชัย เจริญสุวรรณ นายกสภาการแพทย์แผนไทย นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ศ.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยบูรพา ตลอดจนผู้เกี่ยวข้อง อาทิ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์แผนจีน นักธุรกิจ ผู้อำนวยการสถาบันทางการแพทย์ นักศึกษา เข้าร่วม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวทีนี้ได้มีพิธีลงนามความร่วมมือ (เอ็มโอยู) สัตยาบันทางวิชาการระหว่างสภาวัฒนธรรมไทย-จีนและส่งเสริมความสัมพันธ์ ศูนย์เผยแพร่วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อส่งเสริมแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมการแพทย์และเทคโนโลยีระหว่างประเทศ แลกเปลี่ยนผลวิจัยการแพทย์จีน ผลักดันให้เทคโนโลยีการแพทย์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ได้ก้าวสู่ต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงให้เกิดการบูรณาการในเชิงลึกของแพทย์จีนและวัฒนธรรมทางการแพทย์ระหว่างประเทศ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยาน

นายวิษณุ กล่าวว่า นับตั้งแต่นายสี จิ้นผิง ประธานธิบดีจีน ได้เปิดนโยบายเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (One Belt One Road) โดยกล่าวย้ำว่าจีนจะผูกมิตรกับนานาประเทศ ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจีน ถ่ายโอนและถ่ายทอดวัฒนธรรมที่สั่งสมกว่าหลายพันปีให้แก่ประเทศต่างๆ โดยรัฐบาลไทยได้รับทราบนโยบายดังกล่าวและตอบรับด้วยความยินดียิ่ง เนื่องจากจีนกับไทยเป็นพี่น้องกัน จึงได้ย้ำต่อรัฐบาลจีนและรัฐบาลไทยหลายครั้งว่า ขณะที่ไทยมีความสัมพันธ์กับประเทศอื่นทั่วโลกเพียงด้านการทูตและด้านเศรษฐกิจ แต่ไทยกับจีนได้สัมพันธ์กันถึง 4 มิติ ทั้งด้านการทูต การค้า ด้านวัฒนธรรมและสัมพันธ์ด้านสายเลือด ทำให้วัฒนธรรมจีนหลายอย่างกลายเป็นวัฒนธรรมไทย โดยที่ไม่สนใจเรื่องต้นกำเนิดหากเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศ โดยเฉพาะวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหารและหยูกยาทั้งหลาย ซึ่งคนไทยทั้งในเมืองและชนบทต่างรู้จักหมอแมะแผนโบราณของจีน การฝังเข็ม การกินยาจีน และถูกฝังอยู่ในสายเลือด ทำให้ไทยอยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเดิมเป็นวัฒนธรรมพื้นบ้าน แต่ขณะนี้กลายเป็นศาสตร์ที่เรียกว่า วัฒนธรรมทางการแพทย์ทางเลือก พร้อมพัฒนาสู่การแพทย์สมัยใหม่

Advertisement

“สำหรับการสัมมนาในวันนี้จะเห็นว่าการแพทย์แผนจีนมีการพัฒนาอย่างก้าวไกล เช่น สเต็มเซลล์ สมองเทียม ฯลฯ ถือเป็นองค์ความรู้สำคัญที่คนไทยจะต้องเรียนรู้ ต่อยอด ส่งเสริมและรักษาไว้ตามพระปฐมบรมราชโองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมรู้ว่าสิ่งใดควรพัฒนาให้กลายเป็นธุรกิจ สิ่งใดส่งเสริมให้เป็นเป็นองค์ความรู้สู่ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศ และควรจะพัฒนาสิ่งใดเพื่อประโยชน์มนุษชนและมนุษยชาติ ซึ่งที่ผ่านมา นายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ อดีตรัฐมนตรีมีความพยายายาม ทำให้เกิดความรู้และเผยแพร่องค์ความรู้ของจีน ทั้งนี้ คาดหวังให้การสัมมนาครั้งนี้เกิดผลเป็นรูปธรรมและจัดสัมมนาขึ้นอีกในครั้งต่อไป อย่างที่มีการพูดถึงชาร้อน ซึ่งอากาศเมืองไทยขณะนี้ไม่เพียงแต่ร้อนนอกอย่างเดียว แต่ร้อนในด้วย การเมืองยิ่งรุนแรงยิ่งมีอาการร้อนในมาก เพราะฉะนั้นใครที่เกี่ยวข้องน่าจะชงยาจีนที่อยู่ชาร้อนแจกไปทั่วทั้งสภาฯ เพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น” นายวิษณุ กล่าว

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image