สบยช.เตือนกลุ่มใช้สารเสพติด ระวัง! ภาวะ “สมองติดยา” เสี่ยงพิการถาวร

กรณีข่าวการจับกุมอดีตนักร้องสาวชื่อดัง พร้อมแฟนและเครือข่ายในข้อหาเสพและค้ายาเสพติด ซึ่งอดีตนักร้องสาวยอมรับว่าติดยาเสพติดมานานนับ 10 ปี นั้น

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน นพ.ภาสกร ชัยวานิชศิริ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า กรณีดังกล่าวคือ อาการสมองติดยา เป็นอาการที่พบได้ในผู้เสพยาและสารเสพติด เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายจะมีผลต่อสมอง 2 ส่วน คือ สมองส่วนคิด (Cerebral Cortex) และสมองส่วนอยาก (Limbic System) ยาและสารเสพติดจะเข้าไปกระตุ้นสมองให้หลั่งโดปามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดความสุขออกมามากกว่าปกติ ทำให้มีความสุขอย่างมากและรวดเร็ว เกิดความพึงพอใจมากกว่าปกติ เมื่อหมดฤทธิ์จะทำให้ผู้เสพมีอาการหงุดหงิด ซึมเศร้า จึงพยายามแสวงหายาและสารเสพติดมาใช้ซ้ำเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน เมื่อใช้ยาและสารเสพติดบ่อยๆ จะทำให้สมองส่วนคิดถูกทำลาย การใช้ความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลเสียไป สมองส่วนอยากจะอยู่เหนือสมองส่วนคิด ทำให้ทำอะไรตามใจตามอารมณ์ ผู้เสพยาและสารเสพติดจึงมักแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ก้าวร้าว หงุดหงิด เกิดอาการทางจิตประสาท ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ หมกมุ่นกับการใช้ยาและสารเสพติด ทำทุกวิถีทางให้ได้ยาเสพติดมาเสพ ส่งผลกระทบทั้งต่อตนเองและสังคม

ด้าน นพ.สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติ
บรมราชชนนี กล่าวว่า การที่ผู้เสพยาและสารเสพติดเข้ากระบวนการเลิกยาและสารเสพติดอย่างจริงจัง
ช้าเกินไป เนื่องจากคิดว่าตนเองไม่ติด ไม่จำเป็นต้องรักษา สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน คือ เซลล์สมองถูกทำลาย ซึ่งจะมีความชัดเจนหลังจากเสพเพียง 1 เดือน และหากมีภาวะเสริมจากปัญหาของสมอง เช่น ระดับสติปัญญาต่ำ หรือมีสภาพจิตใจที่ไม่ปกติ มีแนวโน้มทางกรรมพันธุ์ที่มีโอกาสจะเกิดโรคทางจิตเวช ยิ่งทำให้อาการทางสมองที่ผิดปกติแสดงออกมาอย่างรุนแรงมากขึ้น ทำให้สูญเสียความทรงจำ คล้ายคนสมองเสื่อม ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เกิดความผิดปกติทางจิตเวชจากภาวะสมองพิการ อย่างไรก็ตาม หากหยุดเสพยาและสารเสพติดตั้งแต่เริ่มเสพไม่นาน และเข้ารับการบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่อง สมองจะมีโอกาสฟื้นฟูเป็นปกติมากขึ้น

Advertisement

“แต่ในรายที่เสพยาและสารเสพติดมาเป็นระยะเวลานานมากกว่า 5-10 ปี และเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาช้า สมองจะถูกทำลายกลายเป็นโรคสมองพิการถาวร โอกาสที่สมองจะกลับมาเป็นปกติเป็นเรื่องที่ยาก แม้จะสามารถเลิกเสพยาและสารเสพติดได้ก็อาจสายเกินไป เพราะไม่สามารถใช้สมองเพื่อเรียนหนังสือหรือทำงานได้อย่างเช่นคนปกติทั่วไป” นพ.สรายุทธ์ กล่าวและว่า หากประสบปัญหาเกี่ยวกับยาและสารเสพติด สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่ สายด่วนยาเสพติด 1165 หรือที่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี กรมการแพทย์ จ.ปทุมธานี และโรงพยาบาล (รพ.) ธัญญารักษ์ในส่วนภูมิภาคทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา และปัตตานี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pmindat.go.th

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image