| ที่มา | สกู๊ปหน้า 1 มติชนรายวัน |
|---|---|
| เผยแพร่ |
ก้าวสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ในรอบ 5 ปี ถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรีจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนเดิม แต่คณะรัฐมนตรีก็มีการเปลี่ยนใหม่เกือบทั้งหมด เป็นรัฐบาลผสมที่มาจากหลากหลายพรรค และหลากหลายนโยบาย
แต่กระทรวงที่ดูจะคึกคักและเป็นที่น่าจับตามองที่สุดสำหรับ ครม.ชุดใหม่ นั่นคือ “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” เป็นกระทรวงที่มีรัฐมนตรี 4 คนจาก 4 พรรค
ประกอบด้วย 1.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ จากพรรคประชาธิปัตย์
2.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ จากพรรคพลังประชารัฐ
3.นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ จากพรรคชาติไทยพัฒนา
4.น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ จากพรรคภูมิใจไทย
ทั้ง 4 คนนี้ ล้วนแต่เป็นบุคคลที่น่าจับตามองทั้งสิ้น ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน แต่จากการให้ข่าวของ ประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรฯ จากพรรคชาติไทยพัฒนาที่ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการเร่งด่วนให้ติดตามดำเนินการดูแลเรื่องฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง และให้ดูแลเรื่องการทำนาปรังของชาวนา เป็นเรื่องที่ต้องเข้ามาดูแลเร่งเมื่อเข้ามาปฏิบัติงานจริง ในเรื่องของนโยบายตอนนี้ยังไม่ได้มีการพูดกันอย่างชัดเจนว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร คงต้องนัดหารือพร้อมกันทั้ง 4 คน ในเร็วๆ นี้
ส่วนโจทย์หินอีกเรื่องหนึ่งคงหนีไม่พ้นปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะยางพาราและปาล์ม ที่ เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่า งานหลักที่ถือเป็นงานเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขทันทีคือเรื่องปากท้องของพี่น้องประชาชนที่รับผลกระทบมาจากพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ ต้องทำงานควบคู่ไปกับกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ มีพืชผลการเกษตรหลายตัวที่ต้องเร่งแก้ไข อาทิ ยางพารา ที่จะตั้งคณะทำงานขึ้นดูแลเป็นการเฉพาะ
ส่วนข้อกังวลที่ว่า ยางพาราราคาตกต่ำเพราะ 5 เสือส่งออกของไทย ถูกต่างชาติเข้าซื้อกิจการ และสวมรอยเป็นนอมินี โดยกดราคายางพาราให้ต่ำจากความเป็นจริงนั้น เฉลิมชัย ศรีอ่อน ยืนยันว่าจะเข้าไปกำกับดูแลด้วยตนเอง
สำหรับนโยบายที่สำคัญของทั้ง 4 รมต.จาก 4 พรรค ที่เคยหาเสียงไว้เกี่ยวกับงานด้านการเกษตรฯ ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ มีโครงการโฉนดสีฟ้า ซึ่งหลักสำคัญคือผู้ถือครองจะต้องมีความมั่นคง และมั่นใจในการสร้างโอกาสให้กับตนเอง โดยการจัดทำโฉนดชุมชนจัดการตนเอง มีการออก พ.ร.บ.โฉนดชุมชน เพื่อให้สิทธิในการจัดการชุมชนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ จะมีการจัดตั้งกองทุนน้ำชุมชน ให้เกษตรกรมีน้ำใช้ตลอดปี มีเงินทำแหล่งน้ำทุกหมู่บ้าน โดยรับการจัดสรรงบประมาณ มีผู้เชี่ยวชาญเข้าไปแนะนำชาวบ้านในการจัดการแหล่งน้ำด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ดินของรัฐ หากเป็นที่ดินของเกษตรกรแต่เหมาะสมที่จะทำสระน้ำ ก็สามารถเข้ามาร่วมโครงการ ซึ่งจะต้องปลดล็อกกฎระเบียบของราชการ และใช้ยางพาราในการทำสระน้ำ
อีกนโยบายที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศไว้ นั่นคือ การประกันรายได้เกษตรกร ให้ครอบคลุมพืชทุกชนิด เพื่อสร้างความมั่นคงรายได้ให้เกษตรกรไทยทุกคนได้มีหลักประกันรายได้ขั้นต่ำในการทำอาชีพเกษตรกรรม อาทิ ข้าวเปลือกไม่ต่ำกว่าเกวียนละ 10,000 บาท, ยางพารา ไม่ต่ำกว่า 60 บาทต่อกิโลกรัม, ปาล์ม 10 บาทต่อกิโลกรัม รวมถึงทำประกันภัยพืชผลคุ้มครองต้นทุนการผลิต
ส่วนนโยบายดูแลราคาสินค้าเกษตร ของพรรคพลังประชารัฐ จะดูแลราคาสินค้าเกษตรไม่ให้มีราคาต่ำกว่านี้ เช่น จะตรึงราคาข้าวหอมมะลิอยู่ที่ 18,000 บาท/ตัน, ข้าวเจ้า 12,000 บาท/ตัน, อ้อย 1,000 บาท/ตัน, ยางพารา 65 บาท/กิโลกรัม, ปาล์ม 5 บาท/กิโลกรัม และมันสำปะหลัง 3 บาท/กิโลกรัม และนโยบาย “เปลี่ยน ส.ป.ก.4-01 ให้เป็นที่ดินทองคำ”
ด้านพรรคชาติไทยพัฒนา เน้นการเข้าไปจัดการปัญหาผลผลิตการเกษตร ราคาผลผลิตตกต่ำ พรรคต้องการที่จะนำเสนอความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน การหาตลาดเป็นสิ่งที่สำคัญ เพิ่มช่องทางการตลาดหรือที่เรียกว่าโซเชียลคอมเมิร์ซ
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ได้ประกาศนโยบายกำไรแบ่งปันสินค้าเกษตร จะทำให้ชาวนา มีรายได้เพิ่มขึ้น และราคาข้าวสารจะไม่แพงขึ้น เพราะข้าวสารเป็นสินค้าควบคุมราคา คนไทยไม่ต้องกินข้าวราคาแพง รวมถึงนโยบายกัญชาเสรี โดยใช้ “แคลิฟอร์เนียโมเดล” เป็นต้นแบบ ที่มีการร่างกฎหมายไว้รอแล้ว
เมื่อส่องดูจากนโยบายด้านการเกษตรทั้ง 4 พรรค หากมีการนำนโยบายต่างๆ มาควบรวมกันจะสามารถทำให้งานที่ยังติดปัญหาเดินหน้าต่อไปได้มากน้อยแค่ไหน
แต่ขณะนี้เรื่องที่เกษตรกรประสบปัญหามากที่สุด คือเรื่องราคายางพาราที่ลดลงกว่า 10 บาท และมีแนวโน้มจะลดลงต่อเนื่อง เป็นเรื่องเร่งด่วนที่กระทรวงเกษตรฯ จะต้องเร่งเข้าไปดูแลเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ต้องรอดูว่ารัฐมนตรีแต่ละคนจะได้กำกับดูแลงานและกรมไหนบ้าง ที่จะผลักดันนโยบายด้านการเกษตรของแต่ละพรรคที่นำมาปรับเป็นนโยบายของรัฐบาลโดยรวม สามาถแก้ปัญหาเกษตรกรให้ลืมตาอ้าปากได้โดยเร็ว
