เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ทรูดิจิทัลพาร์ค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงานสตาร์ตอัพ ไทยแลนด์ 2019 “Startup Thailand 2019” ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้แนวคิด STARTUP NATION ซึ่งสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) อว. จัดขึ้น
นายสุวิทย์ กล่าวแสดงปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “Southeast Asia: Tech Hub of the World” ว่า การส่งเสริมสตาร์ตอัพ หรือวิสาหกิจเริ่มต้นนั้น เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างประเทศไปสู่การเป็น “ชาติสตาร์ตอัพ” ที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโต คนไทยได้งานทำอันคุ้มค่า ลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ เพื่อขับเคลื่อนไทยให้หลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศรายได้สูงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
“ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลให้ความสำคัญกับสตาร์ตอัพในฐานะนักรบทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนไทยให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคง ภายในปี 2580 ตามวิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งการพัฒนาสตาร์ตอัพนั้นจะต้องดำเนินการให้เป็นไปทั้งระบบ ดังนั้น คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมีมติเห็นชอบในการจัดตั้ง หน่วยบริการเบ็ดเสร็จ หรือ One-Stop Service: OSS สำหรับสตาร์ตอัพ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของสตาร์ตอัพทั้งในและต่างประเทศ” นายสุวิทย์ กล่าว
นอกจากนี้ นายสุวิทย์ กล่าวว่า รัฐบาลได้อนุมัติให้เร่งจัดตั้งกองทุนพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ กองทุนสตาร์ตอัพ เพื่อสนับสนุนด้านการเงินให้แก่ผู้ประกอบการต้องการเริ่มต้นธุรกิจ ตั้งแต่ช่วงพัฒนาแนวคิด จนกระทั่งสามารถพัฒนาเป็นสินค้าและบริการที่จำหน่ายได้ มั่นใจมากว่าสตาร์ตอัพเชื้อสายไทยจะต้องเป็นนักรบใหม่ทางเศรษฐกิจ ที่จะช่วยนำประเทศไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและผู้ประกอบการได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะปีนี้ ที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน บทบาทหนึ่งที่สำคัญคือ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในทุกด้าน ไม่เว้นแม้แต่เรื่องสตาร์ตอัพ เชื่อว่า อาเซียนจะเป็นศูนย์กลางแห่งเทคโนโลยีของโลก หรือ Tech Hub of the World ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแน่นอน
นายสุวิทย์ กล่าวว่า ล่าสุด องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกได้ประกาศผลการจัดทำดัชนีนวัตกรรมระดับโลก (Global Innovation Index – GII) ประจำปี 2562 ที่เมืองนิวเดลี ประเทศอินเดีย ปรากฎว่าไทยได้รับการจัดอันดับความสามารถด้านนวัตกรรมอยู่อันดับที่ 43 ขยับขึ้นจากปี 2561 มา 1 อันดับ โดยไทยมีการปรับตัวดีขึ้นทั้งทางด้านปัจจัยเข้าทางนวัตกรรม จากอันดับที่ 52 เลื่อนเป็นอันดับที่ 47 และปัจจัยย่อยผลผลิตทางนวัตกรรมปรับขึ้นจากอันดับที่ 45 เป็นอันดับที่ 43 และเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางระดับบน ไทยอยู่ในอันดับ 4 จาก 34 ประเทศ
“ไทยมีอันดับที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยในทุกปัจจัย ยกเว้นปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่หากเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย ไทยอยู่ในอันดับ 10 จาก 15 ประเทศ” รัฐมนตรีว่าการ อว.กล่าวและว่า สำหรับคะแนนปีนี้ ไทยทำได้ดีในหลายตัวชี้วัดจาก 5 ปัจจัยหลัก อาทิ ด้านเครดิตภายในประเทศที่มีต่อภาคเอกชน อันดับ 12 การคุ้มครองผู้ลงทุน อันดับ 14 การลงทุนในตลาด อันดับ 10 การทำ R&D ที่มีแหล่งเงินจากภาคธุรกิจ อันดับ 4 การนำเข้าสินค้าไฮเทค อันดับ 12 สภาพแวดล้อมการทำธุรกิจ อันดับ 20 การเติบโตด้านผลิตภาพแรงงาน อันดับ 14 และการส่งออกสินค้าเทคโนโลยี อันดับ 8 รวมถึงตัวชี้วัดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยผลลิตจากองค์ความรู้และเทคโนโลยี และปัจจัยด้านผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ ขณะที่ตัวชี้วัดที่ไทยยังมีข้อด้อยส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างปัจจัยเข้าทางนวัตกรรม อาทิ สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายระเบียบและข้อบังคับต่างๆ อันดับ 105 อัตราส่วนของครูและนักเรียน อันดับ 97 การกู้ยืมรายย่อยในระดับไมโครไฟแนนซ์ อันดับ 80 เป็นต้น