‘อนุทิน’ ประชุม กก.ยุทธศาสตร์ สปสช. ถก 3 แนวทางจัดระบบให้ผู้ป่วยรับยาที่ร้าน คาดเริ่ม 1 ต.ค.ทั่วปท.

วันที่ 16 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ประธานบอร์ด สปสช.) ได้ประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ สปสช. วาระพิเศษ ครั้งที่ 1/2562 และมอบนโยบายการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ซึ่งมี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัด สธ. นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการ สปสช. และคณะผู้บริหาร สปสช. ร่วมประชุม พร้อมหารือถึงแนวทางการบริหารจัดการเพื่อลดเวลาการเข้ารับบริการของผู้ป่วยที่โรงพยาบาลด้วยการจัดบริการรับยาที่ร้านขายยาคุณภาพ นอกจากเป็นการเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วยแล้ว ยังลดความแออัดในโรงพยาบาลด้วย 

ทั้งนี้ นายอนุทินได้มอบนโยบายในการประชุมบอร์ด สปสช.เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2562 ในการจัดบริการเพื่อให้ผู้ป่วยรับยาที่ร้านยาคุณภาพ ที่ผ่านมา สปสช. ได้เร่งดำเนินการหารือกับผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง สธ.และสภาเภสัชกรรมเพื่อวางแนวทางในการดำเนินการ มีข้อสรุปเบื้องต้นจะนำร่องในโรงพยาบาล 50 แห่ง และร้านยาคุณภาพ 500 แห่งทั่วประเทศ จำกัดการจ่ายยาเฉพาะ 4 โรค ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หอบหืด และจิตเวช ซึ่งเป็นกลุ่มโรคเรื้อรังที่ผู้ป่วยต้องได้รับยาต่อเนื่อง รวมจำนวนอยู่ที่ร้อยละ 40 ของผู้ป่วยที่เข้ารับบริการในโรงพยาบาล โดยผู้ป่วยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม     

ในส่วนการดำเนินการได้ออกแบบไว้ 3 ทางเลือก 1.โรงพยาบาลเป็นผู้จัดยาและส่งยาไปที่ร้านยาคุณภาพเพื่อจ่ายยาให้กับผู้ป่วย ซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่โรงพยาบาล (รพ.) ศิริราช ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน สามารถลดความแออัดในโรงพยาบาลได้ แต่ไม่ลดภาระงาน 2.นำยาไปสำรองไว้ที่ร้านยาคุณภาพ และให้เภสัชกรร้านยาเป็นผู้จัดยาตามใบสั่งแพทย์ เสมือนเป็นห้องจ่ายยาย่อยของโรงพยาบาล ที่ต้องมีระบบจัดการคลังยา และ 3.ร้านยาคุณภาพเป็นผู้จัดซื้อยาและสำรองยาในการจ่ายยาให้กับผู้ป่วยเอง โดยโรงพยาบาลเป็นผู้ตามจ่ายค่ายาให้ร้านยาคุณภาพ อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการจะมีการดูแลค่าใช้จ่ายบริหารจัดการของโรงพยาบาลและค่าใช้จ่ายของร้านยาคุณภาพในการจัดส่งยาให้กับผู้ป่วยที่จะจัดเพิ่มขึ้น

Advertisement

นายอนุทิน กล่าวว่า ที่ประชุมจะมีการหารือเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้งว่าจะเลือกแนวทางใด และจะนำเสนอต่อที่ประชุมบอร์ด สปสช.วันที่ 2 กันยายนนี้ คาดว่าจะเริ่มได้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 นอกจากนั้นที่ประชุมยังได้หารือประเด็นด้านระเบียบหรือ กฎหมายที่อาจจะเป็นอุปสรรคในการทำงาน และจะมีการแก้ไขให้สามารถดำเนินการได้ เรื่องนี้ประชาชนได้ประโยชน์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความมั่นใจของผู้ป่วยต่อยาที่ได้รับจากร้านยาคุณภาพ จะต้องเป็นยาตัวเดียวกัน เหมือนกับที่ได้รับจากโรงพยาบาล เป็นสิ่งที่ต้องระวังไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ป่วยได้ ส่วนกรณีหากจำเป็นต้องเปลี่ยนยาต้องเป็นการสั่งเปลี่ยนจากหมอหรือโรงพยาบาลเท่านั้น และเมื่อระบบนี้เดินไปจุดหนึ่งเชื่อว่าจะมีร้านขายยาคุณภาพเข้าร่วมเพิ่มเติม

ด้าน นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า หลังจากเริ่มดำเนินการแล้ว จะมีคณะทำงานติดตามและประเมินผลอีกครั้ง ร้านยาที่เข้าร่วมจำกัดเฉพาะร้านยา ขย.1 ที่เป็นร้านยาคุณภาพและมีเภสัชกรประจำทำหน้าที่จ่ายยา อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ไม่บังคับให้ทุกโรงพยาบาลและผู้ป่วยต้องทำ เนื่องจากโรงพยาบาลในต่างจังหวัดได้กระจายให้ผู้ ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงรับยาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อยู่แล้ว

“ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้ป่วยและโรงพยาบาลเองว่าจะเลือกแบบใด จะรับยาที่ร้านขายยา หรือรับยาที่โรงพยาบาลเหมือนเดิม ซึ่งนโยบายนี้สอดคล้องกับโครงการร้านยาชุมชนอบอุ่นที่ สปสช.ได้เดินหน้าแล้ว” นพ.ศักดิ์ชัย กล่าว

Advertisement

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image