เปิดแล้ว “คลินิกกัญชา” รพ.พระนั่งเกล้า นำร่องรักษา 9 กลุ่มโรค

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานเปิด “คลินิกกัญชาทางการแพทย์” ที่โรงพยาบาล (รพ.) พระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี

นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า กัญชาทางการแพทย์เป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในทางการแพทย์ เป็นการนำสิ่งที่มีประโยชน์ สิ่งที่เป็นภูมิปัญญาไทยมาใช้ โดย สธ.ได้พยายามทำให้การรักษาผู้ป่วยด้วยกัญชาถูกต้องตามกฎหมายทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์ทางเลือก ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์และสหวิชาชีพที่ผ่านการอบรม

นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลสังกัด สธ. ได้เปิดให้บริการคลินิกกัญชาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน 117 แห่ง และแผนไทย 24 แห่ง โดยแหล่งผลิตสารสกัดจากกัญชาจากองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร มีจำนวนเพียงพอที่จะสนับสนุนคลินิกกัญชาทางการแพทย์ ซึ่งผู้ป่วยทุกกลุ่มโรค จะต้องผ่านการคัดกรองจากแพทย์ประจำคลินิกก่อนได้รับการรักษาให้คำแนะนำ และติดตามประเมินผลหลังได้รับสารสกัดกัญชาแก่ผู้ป่วยทุกราย

Advertisement

นอกจากนี้ นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า สำหรับ รพ.พระนั่งเกล้า เปิดคลินิกกัญชาทางการแพทย์แบบคู่ขนานทั้งแผนปัจจุบันและแผนไทยมีแพทย์ที่ผ่านการอบรม รวม 6 คน ทันตแพทย์ 1 คน พยาบาลวิชาชีพ 4 คน และเภสัชกร 5 คน ให้บริการผู้ป่วย 9 กลุ่มโรค โดยแพทย์แผนปัจจุบัน ได้แก่ 1.ภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบําบัด 2.โรคลมชักที่รักษายาก 3.ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง 4.ภาวะปวดประสาทที่ดื้อต่อการรักษาด้วยวิธีมาตรฐาน 5.ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ดูแลแบบประคับประคอง 6.ผู้ป่วยมะเร็ง ส่วนแพทย์แผนไทยให้บริการผู้ป่วย 7.เพื่อช่วยให้นอนหลับ เจริญอาหาร 8.ฟื้นฟูอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากโรคลม อัมพฤกษ์ อัมพาต และ 9.บรรเทาอาการ ปวดตึงกล้ามเนื้อ ลดอาการมือเท้าชาหรืออ่อนกำลัง

Advertisement

“รพ.พระนั่งเกล้า มีผู้ป่วยระยะสุดท้าย เช่น อัมพาต โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ จำนวน 890 คน ผู้ป่วยจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งเป็นโรคมะเร็ง ซึ่งคลินิกกัญชาจะเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ โดยเปิดให้บริการทุกวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 13.00 – 16.30 น. แพทย์ผู้รักษาต้องมีความเข้าใจ มีความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสารสกัดกัญชา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่จำเป็นต้องใช้ จากการประเมินผู้ที่ได้รับการรักษา พบว่าได้ผลร้อยละ 66 หากมีการนำไปใช้ในวงการได้ผลดี อาจจะนำไปสู่การใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น การอุตสาหกรรมด้านอาหาร เกิดผลดีต่อเกษตรกร เป็นพืชทางเลือกในอนาคต” นพ.ประพนธ์ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image