เมื่อวันที่ 24 มกราคม ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) โดยเครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ได้เปิดเผยผลการสุ่มทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศที่มีจำหน่ายในท้องตลาด และทางออนไลน์ จำนวน 10 ยี่ห้อ โดยเปรียบเทียบราคาซื้อขายตามท้องตลาด ณ เดือนมิถุนายน 2562 และได้ทำการทดสอบเครื่องฟอกอากาศโดยการปรับปรุงตามมาตรฐาน Standards of The Japan Electrical Manufacturers’ Association (JEM Standards), JEM1467 – Air Cleaner for Household Use (Air cleaners of household and similar use) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศครัวเรือน
จากผลการทดสอบสามารถแบ่งประเภทของเครื่องฟอกอากาศ โดยพิจารณาจากการเปรียบเทียบพื้นที่ห้องที่เหมาะสมกับพื้นที่ห้องที่แนะนำตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน 5 กลุ่ม ดังนี้
1.เครื่องฟอกอากาศเหมาะกับกลุ่มที่ขนาดพื้นที่ห้องจากการทดสอบ มีขนาดเล็กมาก 2.32 ตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งสามารถแปลผลการทดลองได้ว่า ไม่สามารถลดปริมาณฝุ่นได้ ได้แก่ ยี่ห้อ Clair
2.เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องขนาด 13-16 ตารางเมตร และเป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งานได้แก่ ยี่ห้อ Blueair
3.เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องที่มีขนาดมากกว่า 20 ตร.ม. แต่ไม่เกิน 30 ตร.ม. และเป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ ยี่ห้อ Hitachi Fanslink Air D, Sharp และ Bwell
4.เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ได้กับห้องที่มีขนาดมากกว่า 20 ตร.ม. แต่ไม่เกิน 30 ตร.ม. แต่ไม่เป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ Hatari และ Mitsuta
5.เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องที่มีขนาด มากกว่า 30 ตร.ม. และเป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ Philips และ Mi
นายไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ตั้งข้อสังเกตว่าการบอกขนาดห้องที่เหมาะสมของเครื่องฟอกอากาศแต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกัน บางยี่ห้อ บอกขนาดห้องที่เหมาะสม ในช่วง Range ที่ค่อนข้างกว้าง เช่น กรณีของ Philips รุ่น AC 1215/20 ขนาดห้องที่แนะนำ อยู่ในช่วง 21-63 ตร.ม. ยี่ห้อ Mi รุ่น (Air Purifier 2s) ขนาดห้องที่แนะนำ 21-37 ตร.ม. ดังนั้น ถ้าสามารถทราบค่า CADR ของแต่ละผลิตภัณฑ์ เราสามารถที่จะคำนวณประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศได้ ซึ่งค่า CDAR ที่ได้จากการทดสอบเป็นค่าที่บอกถึงความสามารถในการกำจัดฝุ่น ได้ 99% ในเวลา 90 นาที ในกรณีที่ห้องมีขนาดใหญ่เวลาที่ใช้ในการกำจัดฝุ่นก็จะมากขึ้นหรืออาจไม่สามารถกำจัดฝุ่นได้
“การทดสอบนี้เป็นเพียงการทดสอบในประเด็นประสิทธิภาพของเครื่องในการกำจัดฝุ่นเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องความทนทาน ความสามารถในการกำจัดฝุ่นเมื่อระยะเวลาใช้งานนานขึ้นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา ดังนั้น การกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในสินค้าประเภทเครื่องฟอกอากาศในครัวเรือน จึงมีความสำคัญเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถใช้ข้อมูลการทดสอบตามมาตรฐานในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างมั่นใจ” นายไพบูลย์ กล่าวและว่า เสนอว่าสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ควรเร่งจัดทำมาตรฐานเครื่องฟอกอากาศในครัวเรือน เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อ เลือกใช้สินค้าที่มีมาตรฐานอุตสาหกรรม
ด้าน นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ เครือข่ายอากาศสะอาด กล่าวว่า ตลอด 24 ชั่วโมงของวัน เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในอาคาร จึงได้รับฝุ่น PM2.5 จากอากาศในอาคารมากกว่าอากาศภายนอก ซึ่งแนวทางการปกป้องสุขภาพจากฝุ่น PM2.5 คือ การจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยในอาคารบ้านเรือนที่เป็น “ห้องปลอดฝุ่น” ดังนั้น เครื่องฟอกอากาศจึงเป็นสิ่งจำเป็น