โฆษก ศบค.เผยไทยพบ “โควิด-19” หลักเดียวต่อเนื่อง 17 วัน แต่ห้ามวางใจ!
โควิด-19 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล “โควิด-19” ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) เปิดเผยระหว่างแถลงความคืบหน้าของสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ว่า ย้อนไปเมื่อวันที่ 3 เมษายน มีการประกาศให้ใช้อำนาจตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีการประกาศงดออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 22.00 – 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น จึงทำให้จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ไม่ได้มีการเพิ่มมากขึ้น และอยู่ในลักษณะคงที่
“ต่อมาในเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม มีการผ่อนปรนมาตรการกิจการ/กิจกรรมสีขาว จนกระทั่งวันนี้ เป็นระยะเวลา 10 วัน ซึ่งในช่วงแรกมีความกังวลว่าจะมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น แต่พบว่ามีเพียงวันที่ 4 พฤษภาคม ที่พบผู้ป่วยรายใหม่สูงสุดที่ 18 ราย ซึ่งเป็นการพบผู้ติดเชื้อในสถานกักกันที่รัฐบาลจัดไว้ (state quarantine) และเป็นวันแรกที่ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ในระบบบริการภายในประเทศ ซึ่งเรียกได้ว่าวันนั้น เป็นวันที่ประเทศไทยมีการพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เป็นศูนย์วันแรกภายในประเทศแต่ไม่เป็นทางการ เนื่องจากมีการรวบรวมข้อมูลตัวเลขจากศูนย์กักกันเข้าไปด้วย” โฆษก ศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในวันนี้เป็นวันที่ประเทศไทยพบผู้ป่วยเป็นศูนย์อย่างเป็นทางการ หากย้อนกลับไปประเทศไทยพบผู้ป่วยรายใหม่ในหลักเดียวรวมจำนวน 17 วัน ติดต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่นับรวมวันที่ 4 พฤษภาคมที่พบผู้ป่วยรายใหม่ในศูนย์กักกันฯ
“วันนี้ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ ขอแสดงความดีใจกับพวกเราทุกคนที่ได้พยายามทำกันมาอยู่หลายวัน เป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจ เรามีความสมัครสมานสามัคคีทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ร่วมกัน ทำให้ตัวเลขตรงนี้เกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นได้ด้วยฝีมือของคนไทยทุกคน ซึ่งต้องกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกท่านช่วยกันปฏิบัติต่อไป และอาจจะต้องมองด้านที่ไม่ดีไว้ คือ ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดังที่เสนอไปว่าปัจจัยเสี่ยง ที่พบผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ คือ 1.ศูนย์กักกันฯ หรือผู้ต้องกัก 2.การค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก ในชุมชน 3.การสัมผัสผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้า ซึ่งในกลุ่มนี้ จะต้องมีการสอบสวนโรคต่อไป อาจจะไม่ได้มีการรายงานผลในวันนี้ แต่อาจจะมีการรายงานในวันถัดไป ขอให้สบายใจ เบาใจได้ แต่อย่าวางใจ” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว