พยัคฆ์ไพร แจ้งความเพิ่มแม่-น้อง ธนาธร ครอบครองป่าสงวน ทำรัฐเสียหาย 147 ล้าน

พยัคฆ์ไพร แจ้งความเพิ่มแม่-น้อง ธนาธร ครอบครองป่าสงวน ทำรัฐเสียหาย 147 ล้าน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่า และควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ศูนย์ปฎิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรี ทส. ได้มอบหมายการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานเพื่อปฎิบัติการร่วมตรวจสอบการถือครองที่ดินแบบผิดกฎหมายของกลุ่มทุนทั่วประเทศ แบบผิดกฎหมาย กรณีการครอบครองที่ดินของ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้เกี่ยวข้องในเขตป่าสงวนแห่งชาติๆในท้องที่จังหวัดราชบุรี โดย นายอดิศร นุชดำรงค์ อธิบดีกรมป่าไม้ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า ศปก.พป. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าขยายผลตรวจสอบเพิ่มเติมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คณะเจ้าหน้าที่ประกอบด้วย หน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร)

นำโดยตน ที่ปรึกษาหน่วยฯ ,นายชาญชัย กิจศักดาภาพ หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษ (พยัคฆ์ไพร), นายคม ศรีสวัสดิ์ ผอ.ศปป.1 (ภาคกลาง) พ.อ.(พิเศษ) พงษ์เพชร เกษสุภะ, หัวหน้าชุดปฎิบัติการ ศปป4, กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ประสานการปฎิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ขยายผลสืบสวน สอบสวนต่อเนื่องจากข้อมูลเดิมที่ได้ดำเนินการไว้ กรณีที่ดินของนางสมพร พร้อมลงตรวจสอบพื้นที่จริง ที่ดินแปลงดังกล่าวตรวจสอบพบการกระทำผิดจริงและได้ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีไปแล้วต่อ นางสมพร ความผิดใช้เอกสาร, ภบท5 และนส 2 ยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติๆ แบบผิดกฎหมาย เนื้อที่รวม 440 ไร่ และได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2563 และได้ส่งเรื่องราวให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อดำเนินการตามมูลฐานความผิดการบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถือเป็นมูลฐานความผิดของกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งดำเนินการไปแล้ว และกำลังอยู่ในการดำเนินการรวบรวมประเมินความเสียหายภาครัฐ
เพื่อดำเนินการฟ้องเพ่งเรียกค่าเสียหายภาครัฐตามระเบียบ และกฎหมาย

นายชีวะภาพ กล่าวว่า คณะเจ้าหน้าที่ของชุดพยัคฆ์ไพร ได้สืบสวนสอบสวนพบว่า ยังมีการนำเอกสารสิทธิที่ดินประเภท นส 3 ก ,ที่เป็นเอกสารที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอีกจำนวนมาก ของนางสมพร น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายธนากร อีกจำนวนไม่น้อยกว่า 60 ฉบับ รวมเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 2,000 ไร่ นำมายึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ในพื้นที่จังหวัดราชบุรีและเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ๆ คณะเจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมขยายผลสืบสวนสอบสวน ตรวจสอบต่อเนื่อง พบว่า พื้นที่ที่มีการครอบครองทำประโยชน์ อยู่ในท้องที่ ต.รางบัว ,ต.ด่านทับตะโก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เป็นพื้นที่ต่อเนื่องขนาดใหญ่เนื้อที่ประมาณไม่ต่ำกว่า 3 พันไร่เศษ มีการใช้ประโยชน์โดยปลูกยูคาลิปตัสต่อเนื่องทั้งพื้นที่ สืบทราบมีการจ้างเฝ้าดูแลพื้นที่โดยกลุ่มบุคคลในพื้นที่ เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 ต.ด่านท่าตะโก สืบสวนสอบสวนพบว่า พื้นที่ดังกล่าวทั้งหมดถูกครอบครองโดยใช้เอกสารสิทธิประเภท นส 3 ก ที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 60 ฉบับ

Advertisement

“ตรวจสอบพบผู้ครอบครอง น.ส.3 ก คือ นางสมพร 53 ฉบับ เนื้อที่ 1,940-3-93 ไร่,เป็นของ นส.ชนาพรรณ 5 ฉบับ เนื้อที่ 132-0-22 ไร่, และของนายธนาธร 2 ฉบับ เนื้อที่ 81-3-67 ไร่ รวมเนื้อที 2,154-3-82 ไร่ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบ ทั้ง 60 ฉบับ ออกโดยไม่มีหลักฐานเดิม (ส.ค.1) เป็นการเดินสำรวจออกเมื่อปี 2521 ก่อนประกาศพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อปี 2527 แต่พื้นที่ดังกล่าวถูกประกาศเป็นเขตป่าไม้ถาวรหมายเลข 85 เมื่อปี 2512 หรือก่อนที่จะมีการออกเอกสาร น.ส.3ก ทั้ง 60 ฉบับ จึงเป็นเอกสารสิทธิที่ดินที่ออกมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อตรวจสอบโดยละเอียด พบว่าปรากฏชื่อผู้ครอบครอง 3 ราย คือ นางสมพร นส.ชนาพรรณ และนายธนาธร นำเอกสารนำเอกสารสิทธิที่ดินที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนำมายึดถือ ครอบครอง ทำประโยน์ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นการกระทำให้เกิดความเสื่อมเสีย เสียหายต่อพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติๆที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กรมป่าไม้” นายชีวะภาพ กล่าว

นายชีวะภาพ กล่าวว่า ตรวจสอบพบเจ้าหน้าที่ภาครัฐทั้งเจ้าพนักงานที่ดินและเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองที่ได้ร่วมกันออกเอกสารสิทธิที่ดิน นส3.ก, ทั้ง 60 แปลงเนื้อที่ 2154-3-82ไร่, ประกอบด้วย นายวานิภพ ธรรมวิเศษ เป็นเจ้าหน้าที่พิสูจน์สอบสวน, นายรวม ชลิตโกมุท เป็นผู้ช่วยผู้กำกับภาคสนาม, นายไพโรจน์ รัตนวิสาลนนท์ เป็นผู้ควบคุมสาย, นายโกศล ลักษิตานนท์ เป็นผู้ลงนามเห็นควรอก น.ส. 3ก, นายเฉลิมวงศ์ สรรพศิริ ปลัดอำเภอ ทำการแทนนายอำเภอจอมบึง เป็นผู้ลงนามคำสั่งให้ออกเอกสาร น.ส. 3ก ตั้งแต่ช่วงปี พศ.2521 คณะเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันพิจารณาแล้วตามรายละเอียดข้างต้นจึงเห็นว่าเป็นการกระทำที่เชื่อได้ว่า เป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507, พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ประมวลกฎหมายที่ดินตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497และประมวลกฎหมายอาญา เห็นควรให้พนักงานสอบสวนพิจารณาดำเนินการต่อไป ในฐานความผิด ดังนี้

(1) กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 “ยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถางทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษตามมาตรา 31 (2)กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 54 ฐาน “ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่าเข้ายึดถือและครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต” ต้องระวางโทษตามมาตรา 72 ตรี (3) กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน

Advertisement

มาตรา 9 ฐาน “เข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง เผาป่า ทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดินในที่ดินของรัฐโดยไม่มีสิทธิครอบครอง หรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่” (4) กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 97 ฐาน “กระทำหรือละเว้นการ กระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ” (5) การกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

“คณะเจ้าหน้าที่นำโดย อธิบดีกรมป่าไม้ พร้อมคณะทำงานจะนำเรื่องราวเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ พนักสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 15.00 น. เพื่อให้ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายต่อไป และจะดำเนินการส่งเรื่องราวให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อดำเนินการตามมูลฐานความผิดการบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถือเป็นมูลฐานความผิดของกฎหมายฟอกเงิน รวมพื้นที่ตรวจยึดดำเนินคดีทั้งหมดเนื้อที่ 2154-3-82 ไร่ ประเมินความเสียหายภาครัฐจำนวน 147,063,223.15 บาท เพื่อดำเนินการฟ้องเพ่งเรียกค่าเสียหายภาครัฐตามระเบียบ และกฎหมายต่อไป” นายชีวะภาพ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image