อย.จับมือ กรมวิชาการเกษตร ลุยวิจัยพืชเศรษฐกิจกัญชง เผย 18 ผปก.ขอปลูกแล้ว!

แฟ้มภาพ
อย.จับมือ กรมวิชาการเกษตร ลุยวิจัยพืชเศรษฐกิจกัญชง เผย 18 ผปก.ขอปลูกแล้ว!

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัด สธ.ในฐานะประธานกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ พร้อมด้วย นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาและ นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ร่วมแถลงความร่วมมือส่งเสริมกัญชงเพื่อเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้ประเทศไทย

นพ.ธงชัย แถลงว่า กระแสปลูกกัญชง เป็นที่สนใจกับประชาชนและเกษตรกรอย่างมาก ซึ่การอนุญาตหรือปรับปรุงกฎหมายจะมีหลายหน่วยงานประกอบกัน ทั้งจาก สธ. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) สภาวิชาชีพในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ที่มีหน้าที่พิจารณาการปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ การอนุญาตเพื่อใช้ประโยชน์จากพืชกัญชงให้เป็นพืชเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งสนับสนุนให้เกษตรกรมีรายได้จากผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพรวม ทั้งการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการใช้กัญชา กัญชง และพืชสมุนไพรในทางการแพทย์ เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้ประชาชน

นพ.ธงชัย กล่าวว่า สธ.ได้เร่งดำเนินการเพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล โดยมีนโยบายกัญชาเพื่อการแพทย์ และกัญชงเพื่อเศรษฐกิจ

Advertisement

“มีความห่วงใยเกษตรกร เกรงว่าการมีกระแสปลูกกัญชงปรากฏในสื่อต่างๆ จะมีผู้ไม่หวังดีไปชักจูง หรือหลอกลวงเกษตรกร หลอกขายเมล็ดพันธุ์กัญชง หรือหลอกว่าจะช่วยในการขออนุญาตปลูกกัญชง จึงขอเน้นย้ำสำหรับเกษตรกรผู้ที่ต้องการปลูกกัญชงว่า กัญชงยังจัดอยู่ในยาเสพติดให้โทษ ที่ต้องขออนุญาตปลูก ทั้ง 2 กระทรวง ได้ทำบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ในการพัฒนาสายพันธุ์และดูแลเกษตรกร เพื่อให้สามารถนำพืชกัญชงไปเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ และดูแลไม่ให้นำไปใช้ในทางที่ผิด ดังนั้น จึงต้องทำความเข้าใจในการขออนุญาตปลูกและนำเข้า เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องที่สุด” รองปลัด สธ.กล่าว

นพ.ธงชัย กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงเกษตรกร โดยเฉพาะรายย่อย ดังนั้น เกษตรกรที่คิดปลูกพืชกัญชงจะต้องศึกษาข้อมูลให้ดี

“หากมีผู้ใดเข้ามาหาเกษตรกร บอกว่ามีเมล็ดพันธุ์พร้อมขาย และอาสาดำเนินการเรื่องการปลูกให้ อำนวยการขึ้นทะเบียนปลูกให้ ท่านอย่าหลงเชื่อ ขอให้ติดต่อไปที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ปรึกษาเกษตรจังหวัด หรือวิชาการเกษตรว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ และที่สำคัญคือ การขออนุญาตปลูกจะต้องดำเนินการด้วยตนเองเท่านั้น” นพ.ธงชัย กล่าว

Advertisement

ด้าน นพ.ไพศาล กล่าวว่า เราสามารถใช้ประโยชน์จากกัญชงได้ทุกส่วน ทั้ง ต้นน้ำ ขณะนี้เกษตรกร ภาคประชาชน เอกชน หรือภาคธุรกิจ สามารถขออนุญาตปลูกได้แล้วตามวัตถุประสงค์ เช่น ทางการแพทย์ การวิจัย หรืออุตสาหกรรม ส่วน กลางน้ำ ผู้ประกอบการสามารถขออนุญาตตั้งโรงสกัดน้ำมันกัญชงได้ ที่ สสจ. ซึ่งเป็นการขออนุญาตแปรรูปผลิตภัณฑ์ และ ปลายน้ำ คือ การนำส่วนของเปลือก ลำต้น ที่ส่วนใหญ่ใช้ทำเครื่องนุ่งห่ม วัสดุก่อสร้าง เสื้อเกราะ ช่อดอกนำมาสกัดให้ได้สารสำคัญซีบีดี (CBD) เพื่อใช้ในทางการแพทย์ เครื่องสำอาง อาหารสมุนไพร ส่วนเมล็ดและน้ำมันจากกัญชง ใช้แปรรูปผลิตอาหารและเครื่องสำอางได้ ซึ่งจะมีกฎหมายดูแลเฉพาะ เช่น เครื่องสำอาง จะมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เครื่องสำอาง ควบคุม

“วันนี้บุคคลทั่วไป หน่วยงานภาครัฐ เอกชนสามารถปลูกได้ ส่วนการขออนุญาตปลูก หากอยู่ในกรุงเทพมหานคร จะต้องยื่นเอกสารไปที่สำนักงานคณะกรรมการอาหาร และถ้าอยู่ต่างจังหวัดก็สามารถยื่นได้ที่ สจจ. ทุกจังหวัด” นพ.ไพศาล กล่าวและว่า เมื่อมีการขออนุญาตปลูกกัญชง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการประเมินร่วมกับภาคเกษตรในพื้นที่ เพื่อประเมินพื้นที่ ดูภูมิอากาศ ดูเนื้อที่ว่าเป็นอย่างไร อุณภูมิเป็นอย่างไร เหมาะสมกับการปลูกหรือไม่ และเน้นย้ำว่า พื้นที่ปลูกจะต้องมีหลักฐานกรรมสิทธิ์การครอบครอง มีโฉนดที่ดิน หรือสัญญาเช่าที่ดิน ให้ถูกต้อง ดังนั้น เกษตรกรเดี่ยวก็สามารถขออนุญาตได้ หรือจะเป็นวิสาหกิจชุมชนก็ย่อมได้

เลขาธิการ อย. กล่าวว่า นับตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2564 ที่มีประกาศกฎกระทรวงฯ อนุญาตการปลูกกัญชง พบว่า มีผู้เข้ามายื่นขออนุญาตปลูกกัญชงแล้วทั้งสิ้น 18 ราย รวมพื้นที่ประมาณ 900 ไร่ มีทั้งเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการภาคเอกชน แต่ทั้งนี้ ยังเป็นเพียงยื่นขออนุญาตปลูกเท่านั้น แต่ยังไม่มีการอนุมัติให้กับรายใด

ด้าน นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตรมีสิ่งที่กังวล คือ ความเสี่ยงของเกษตรกรและผู้ปลูก ดังนั้น กรมวิชาการเกษตรจะดูแล 1.เรื่องสายพันธุ์กัญชง ช่วงแรกจะมีการประเมินผู้ขออนุญาตปลูก เพื่อประเมินความเสี่ยงในการปลูก เพราะแต่ละสายพันธุ์จะมีผลผลิตที่ต่างกัน เช่น สายพันธุ์ที่ให้เส้นใย ช่อดอกที่มีสารซีบีดี อีกส่วนหนึ่งคือ หลังจากได้รับอนุญาตแล้ว ในช่วงปลูกจะส่งนักวิชาการเข้าไปแนะนำ ส่งเสริม ดูแลเพื่อให้ถูกต้องตามหลักวิชาการด้วย 2.เรื่องการรับรองสายพันธุ์ที่เหมาะ ขณะนี้มีกัญชง 4 สายพันธุ์ จากสำนักงานวิจัยพัฒนาเกษตรที่สูง ซึ่งให้ผลผลิตด้านเส้นใย แต่ในส่วนเมล็ดพันธุ์ที่ให้ผลผลิตเป็นน้ำมัน ยังไม่มีใครขอขึ้นทะเบียน แสดงให้เห็นว่า ในบ้านเราสายพันธุ์ต่างๆ ที่นิ่งแล้วจะมีเฉพาะเรื่องเส้นใยเป็นส่วนใหญ่

“3.เรื่องระบบการปลูก เพื่อให้มีความเหมาะสมในแต่ละสภาพพื้นที่ ให้ได้มาซึ่งสารสำคัญที่มีคุณภาพ โดยการปลูกจะมี 3 ระบบ คือ ระบบโรงเรือนปิด ที่ต้องการสารสำคัญซีบีดี ระบบกรีนเฮ้าส์ และที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด คือ ระบบเปิด สามารถปลูกได้ตามไร่นา ดังนั้น จะต้องหาพันธุ์ที่เหมาะ หาหลักวิชาการที่เหมาะ เพื่อให้เกษตรกรปลูกได้โดยที่ต้นทุนไม่สูง” นายพิเชษฐ์ กล่าวและว่า ส่วนหนึ่งคือ การนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศ เพื่อทำน้ำมัน และสารซีบีดี จะเข้ามาดูแลในเรื่องของการทดสอบคุณภาพมาตรฐาน และจะเปิดบริการสำหรับผู้ประกอบการและเกษตรกร เพื่อให้เกิดความมั่นใจในเมล็ดพันธุ์ต่างประเทศ ความสมบูรณ์ของเมล็ดพันธุ์ ควบคู่กับการวิจัยสายพันธุ์ เนื่องจากสายพันธุ์กัญชงที่นำเข้าจากต่างประเทศ จะมีความเหมาะสมในการปลูกของแต่ละสภาพภูมิประเทศที่ต่างกันออกไป ดังนั้น หากนำมาใช้ทันทีจะเกิดความเสี่ยงต่อเกษตรกร ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่มีอยู่ทั่วประเทศ จะนำเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ ไปทำการวิจัยเพื่อปรับให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ของประเทศไทย ให้เกษตรกรไทยได้พันธุ์ที่เหมาะสมสำหรับปลูกต่อไป ส่วนการขยายพันธุ์ จะจับมือกับสหกรณ์การเกษตรที่มีความพร้อม สร้างพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ และให้สหกรณ์การเกษตรนำไปขยายเป็นต้นกล้าพร้อมจำหน่ายให้เกษตรกร

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image