สปสช.สรุปผลสอบคลินิกชุมชนฯ ในกรุงทุจริต 288 แห่ง เสียหายรวม 691 ล.รื้อ อปสข.กทม.หวั่นซ้ำรอย

สปสช.สรุปผลสอบคลินิกชุมชนฯ ในกรุงทุจริต 288 แห่ง เสียหายรวม 691 ล.รื้อ อปสข.กทม.หวั่นซ้ำรอย

เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ได้ประชุมพิจารณาวาระผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการดำเนินการกรณีหน่วยบริการ (คลินิกชุมชนอบอุ่น) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ปีงบประมาณ 2562 เป็นเท็จ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม 2562 สปสช. เขต 13 กรุงเทพมหานคร ได้ตรวจพบพฤติกรรมของคลินิกชุมชนอบอุ่น 18 แห่ง และคลินิกทันตกรรม 2 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เชื่อได้ว่าทุจริตทำหลักฐานเท็จมาเบิกเงินสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคจากกองทุนบัตรทอง ซึ่งหลังจากนั้น สปสช.ได้ขยายผลการตรวจสอบการเบิกจ่ายของคลินิกชุมชนทั้งหมดในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมทั้งสิ้น 214 แห่ง โดยแบ่งการตรวจสอบเป็น 5 ระยะ และระงับ/เรียกเงินคืนจากคลินิกชุมชนอบอุ่น คลินิกทันตกรรม โรงพยาบาล (รพ.) เอกชน ที่มีความผิดปกติในการเบิกจ่ายเงิน และได้ยกเลิกสัญญากับหน่วยบริการเหล่านั้นด้วย

นายอนุทิน กล่าวว่า การกระทำของหน่วยบริการเหล่านี้ ถือเป็นการทุจริต เงินงบประมาณจากภาษีที่ควรถูกนำไปใช้ดูแลสุขภาพของประชาชนกลับไม่ได้ถูกใช้จริง ทำให้ประชาชนไม่ได้รับบริการด้านสุขภาพอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ จึงได้มอบนโยบายให้ สปสช. ดำเนินการให้ถึงที่สุด ซึ่งนอกจากเรียกเงินคืนและยกเลิกการเป็นคู่สัญญากับ สปสช.แล้ว ยังได้ดำเนินการแจ้งความทั้งอาญาและแพ่ง รวมทั้งส่งเรื่องไปยังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ในฐานะผู้กำกับดูแลหน่วยบริการเอกชนให้พิจารณาตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนส่งเรื่องไปยังแพทยสภาพิจารณาดำเนินการทางจริยธรรม

“วันนี้ที่ประชุมบอร์ด สปสช.ได้มีการประชุมติดตามความก้าวหน้าผลการตรวจสอบดังกล่าว และได้มีมติให้ดำเนินการทางกฎหมายต่อไปตามกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อมูลหลักฐานไปยังศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ การปรับอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขต (อปสข.) พร้อมทั้งมอบ สปสช. ปรับระบบบริการและบริหารการจ่ายใหม่เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ และมาตรการเร่งด่วนคือให้ปรับปรุงองค์ประกอบ อปสข.กทม. โดยยกเลิก อปสข.กทม. และคณะทำงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับอำนาจการบริหารกองทุนระดับเขตพื้นที่” นายอนุทิน กล่าว

Advertisement

ด้าน นายจิรวุสฐ์ สุขได้พึ่ง กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีหน่วยบริการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขอันเป็นเท็จ แถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการดำเนินการกรณีหน่วยบริการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข กิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ปีงบประมาณ 2562 เป็นเท็จ ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลหลักฐานพบการเบิกชดเชยกรณีการให้บริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคกิจกรรมตรวจคัดกรองความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในกลุ่มภาวะเมตาบอลิก ปีงบประมาณ พ.ศ.2562 เข้าข่ายทุจริตเป็นความผิดอาญา จำนวน 211 แห่ง แยกเป็น คลินิกชุมชน 176 แห่ง รพ.เอกชน 35 แห่ง

นอกจากนี้ ได้มีการตรวจสอบกรณีชดเชยกิจกรรมทันตกรรมสร้างเสริมป้องกันโรคและทันตกรรมรักษาของหน่วยบริการในพื้นที่กรุงเทพฯ ปีงบประมาณ พ.ศ.2562-2563 ของหน่วยบริการคลินิกทันตกรรม 79 แห่ง พบความผิดปกติของการเบิกชดเชยกรณีการให้บริการทันตกรรม 77 แห่ง ซึ่งเข้าข่ายเป็นการกระทำทุจริตผิดกฎหมายอาญา การกระทำดังกล่าวทั้ง 2 กรณี นั้น เป็นมูลค่าความเสียหาย 324 ล้านบาท และก่อให้เกิดความเสียหายอื่นๆ ต่อ สปสช.ในเบื้องต้น รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้นประมาณ 691 ล้านบาท” นายจิรวุสฐ์ กล่าว 

ทั้งนี้ นายจิรวุสฐ์ กล่าวว่า ในส่วนของผู้กระทำผิด จำแนกเป็น 1.ผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาล ผู้ดำเนินการสถานพยาบาล 2.ผู้ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ สนับสนุน อำนวยความสะดวกให้หน่วยบริการกระทำผิด และ 3. ผู้เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีบุคคล นิติบุคคล หรือผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาลฯ รายเดียวกันเปิดสถานพยาบาลหลายแห่ง แบ่งเป็นกลุ่มสถานพยาบาลได้อำนวย 28 กลุ่มสถานพยาบาล

นายจิรวุสฐ์ กล่าวด้วยว่า ในด้านการตรวจสอบการบริหารจัดการขึ้นทะเบียนฯ พบว่า คลินิกเอกชนสามารถขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการประจำมีสิทธิได้รับเงินโดยตรงจาก สปสช. โดยการขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการประจำ สปสช. จะต้องผ่านการคัดเลือกและมีคุณสมบัติ ตามเกณฑ์ที่ สปสช. กำหนด ซึ่งคณะทำงานภายใต้อนุกรรมการฯ เห็นว่า คลินิกเอกชนที่ขึ้นทะเบียนมีคุณสมบัติต่างจากคลินิกเอกชนที่เปิดให้บริการโดยทั่วไป และเมื่อตรวจสอบเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค พบว่า มีการให้สิทธิรับบริการกับบุคคลสิทธิอื่นนอกจากสิทธิบัตรทอง

นายจิรวุสฐ์ กล่าวว่า ในด้านตรวจสอบการบริหารจัดการพบว่า หน่วยบริการได้รับเงินเหมาจ่ายรายหัว และได้รับเงินสนับสนุนลักษณะงบลงทุนอื่นด้วย เช่น ค่าเช่าอาคาร ค่าจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ฯ และหากมีการปรับปรุงด้านการบริหารจัดการภายใน ก็สามารถปรับปรุงพัฒนาระบบการตรวจสอบ และควบควบคุมการเบิกชดเชยค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

“คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเสนอ 7 มาตรการเพื่อป้องกันและปรับปรุงแก้ไข ซึ่งที่ประชุมบอร์ด สปสช.ได้มีมติรับทราบผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเห็นชอบกับมาตรการต่างๆ ตามที่เสนอ และให้ส่งข้อมูล/หลักฐานไปยังศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบการปรับอำนาจหน้าที่ของ อปสข.ใหม่ ให้สอดคล้องกับภารกิจ โดยยกเลิก อปสข.กทม. รวมทั้งคณะทำงานทั้งหมด และแต่งตั้งผู้ที่มีความเป็นกลางทำหน้าที่แทน ให้ยกเลิกอำนาจการบริหารการเงิน รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับอำนาจการบริหารกองทุนระดับเขตพื้นที่ แต่ยังคงอำนาจในการกำกับติดตามและประเมินผลการบริหารกองทุนในเขตพื้นที่ และทำหน้าที่ให้คำแนะนำต่อบอร์ด สปสช.” นายจิรวุสฐ์ กล่าวและว่า บอร์ด สปสช. ยังได้ยกเลิกหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนหน่วยบริการคู่สัญญา โดยให้ใช้หลักเกณฑ์กลางของหน่วยงานที่ทำหน้าที่โดยตรงแทน และปรับระบบบริการและบริหารการจ่ายใหม่ รวมทั้งมอบหมายให้ปรับโครงสร้างบุคลากรและการทำงานของ สปสช. เขต 13 กทม. อีกด้วย

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวถีงการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยว่า  สปสช.จะดำเนินการตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ ที่ผ่านการเห็นชอบจากบอร์ด สปสช. ประกอบด้วย 1.มาตรการป้องกันหน่วยบริการกระทำความผิดซ้ำ ให้จัดทำทะเบียนศักยภาพของหน่วยบริการและบุคลากร ปรับปรุงระบบการพิสูจน์ตัวตนผู้รับ/ผู้ให้บริการ และใช้ระบบเอไอ (AI) ตรวจสอบการจ่ายเงินชดเชย 2.สปสช.จะตรวจสอบศักยภาพคลินิกชุมชนอบอุ่นก่อนขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการประจำ พร้อมกับทบทวนหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน QOF หรือ การจ่ายค่าใช้จ่ายตามเกณฑ์ผลงานและคุณภาพบริการ (Quality and Outcome Framework) รวมถึงงบบริการทางการแพทย์ที่เบิกจ่ายในลักษณะงบลงทุน พิจารณาประเด็นเรื่องความหลากหลายในการจ่าย 3.มาตรการพัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย ข้อบังคับระเบียบ ประกาศที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ สปสช.จะพิจารณาประเด็นการให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้ามาเป็นกรรมการหรืออนุกรรมการตามกฎหมาย ตามข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศของ สปสช. 4.สปสช.จะตรวจสอบเอกสารการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายการตรวจคัดกรองเมตาบอลิกตั้งแต่ปี 2560-2563 ขยายการตรวจสอบการเบิกจ่ายค่าบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคของหน่วยบริการเอกชนในพื้นที่ปริมณฑล และสถานพยาบาลมิตรไมตรีคลินิกทุกแห่ง โดยเลือกสุ่มตรวจตามหลักวิชาการในการตรวจสอบบัญชี (Audit) 5.ดำเนินการกับผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และ 6.ดำเนินคดีเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image