สธ.-แพทยสภา ยัน พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดฯ ครอบคลุมแพทย์-จิตอาสา สร้างภูมิคุ้มกันให้คนทำงาน
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) แถลงชี้แจงถึงการยกร่าง พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ว่า ต้องขอบคุณผู้ที่สนใจกฎหมายที่ สธ.ระหว่างจัดทำและยกร่าง ประเด็นที่ 1 ความเป็นมาและความสำคัญ ตามที่โรคติดเชื้อโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ประกาศเป็นภาวะฉุกเฉิน เราถือเป็นภัยพิบัติต่อสาธารณะที่เกิดความเสียหาย ประชาชนเจ็บป่วยจำนวนมาก การระดมกำลังภาครัฐ เอกชน องค์กร อาสาสมัครเข้ามาดูแลเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้น เรารู้ว่าโรคนี้ใหม่มาก แนวทางการรักษา ยาที่ใช้หรือวิธีการรักษา และเมื่อปริมาณระบาดที่มากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ อุปกรณ์ เตียงไม่พอจนถึงเปิดโรงพยาบาลสนาม ฮอสปิเทลต่างๆ ดังนั้น ข้อจำกัดเป็นปัจจัยสำคัญเพราะในภาวะฉุกเฉินอาจมีเรื่องที่ดูแลได้ไม่ทั่วถึง จึงจำเป็นต้องมีภูมิคุ้มกันให้บุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขที่ดูแลประชาชนให้ได้รับความปลอดภัย จึงเป็นเรื่องสำคัญ
“ดังนั้น ภูมิต้านทานที่ป้องกันการถูกฟ้องร้องทำให้บุคลากรมีขวัญกำลังใจทำงาน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในภาวะเช่นนี้ รวมถึงมีข้อเสนอจากองค์กรวิชาชีพ สภาวิชาชีพต่างๆ สมาคมโรงพยาบาลเอกชน เสนอให้มีกฎหมายลักษณะนี้” นพ.ธเรศ กล่าวและว่า เบื้องต้น สธ.แต่งตั้งคณะทำงานยก (ร่าง) พ.ร.ก.ดังกล่าว มอบหมายให้ สบส. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ภาควิชาชีพ ภาคกฎหมายมาช่วยกันดูกลไกลคุ้มครองผู้ทำงานในช่วงระบาดที่เป็นภัยพิบัตินี้ ให้ทำงานอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถไม่ต้องกังวล จึงเกิดเป็นตัวกฎหมายขึ้น
นพ.ธเรศ กล่าวว่า ประเด็นที่ 2 กฎหมายครอบคลุมใครบ้าง หลักสำคัญคือ จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อโควิด-19 ดังนั้น บุคลากรฯ ที่ได้รับคุ้มครองได้แก่ 1. บุคลากรสาธารณสุข ทั้งผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบโรคศิลปะแขนงต่างๆ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และอื่นๆ ที่มาช่วยงาน บุคคลที่มีส่วนในการจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงยา วัคซีน เพราะเรามองถึงกระบวนตั้งแต่จัดหาเครื่องมือ เตรียมสถานที่ เตรียมบุคลากร ไปจนถึงการรักษาด้วยยาและการบำบัด 2.สถานที่คุ้มครอง คือ สถานพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน การปฎิบัติงานนอกสถานที่ อาทิ รถฉุกเฉิน รพ.สนาม การดูแลผู้ป่วยในพื้นที่เฉพาะ 3.การดูแลการคุ้มครอง โดยบุคลากรสาธารณสุขและสถานที่กล่าวอ้าวถึง ต้องทำในสถานพยาบาลหรือนอกสถานพยาบาลตามกำหนด ต้องดูแลเพื่อประโยชน์สาธารณะ ภายในสถานการณ์ฉุกเฉิน
“การดูแลการคุ้มครอง ไม่ใช่ทุกกรณี ทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้กรอบใหญ่ คือการกระทำนั้นต้องกระทำโดยสุจริต ข้อยกเว้นคือ หากการกระทำนั้น เป็นไปอย่างประมาทเลิ่นเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้เกิดความเสียหาย จะเห็นว่าการคุ้มครองมีกรอบจำกัดแต่ขณะเดียวกัน สมมติมีประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย ก็เขียนไว้ว่า ไม่เป็นการตัดสิทธิที่ได้รับการเยียวยาตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง” นพ.ธเรศ กล่าวและว่า ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชนที่จะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ในสถานการณ์ปัจจุบัน
ด้าน พล.อ.ต.นพ.อิทธิพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า การมีกฎหมายมาคุ้มครองให้ผู้ปฏิบัติงานปลอดภัย และทำงานได้เต็มที่ เพื่อดูแลประชาชนได้มากที่สุด ก็จะทำให้การทำงานสะดวกขึ้น ไม่ติดขัด และยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งทุกวิชาชีพเห็นด้วยกับเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีบุคลากรที่ไม่ต้องรับผิดตามร่างกฎหมายนี้ มีตัวอย่างบุคลากรกลุ่มใด หรือทำงานแบบใด นพ.ธเรศ กล่าวว่า อย่างการปฏิบัติงานใน รพ.สนาม เป็นสิ่งแวดล้อมที่จัดขึ้นเพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีจำนวนมาก บางครั้งเครื่องมืออาจมีข้อจำกัด เรื่องสถานที่ ที่ไม่เหมือน รพ. 100% เรื่องทิศทางต่างๆ ทั้งแนวทางการรักษาที่เป็นเรื่องใหม่ เช่น ช่วงแรกเราพูดถึงยาชนิดหนึ่งไม่มีผล แต่ระยะหลังกลับมีผล โรคใหม่มีการเปลี่ยนไปตลอด บางช่วงการรักษาก็ต่างไปตามพิสัย
“เรื่ององค์ความรู้ เช่นวัคซีน ที่เรารู้ว่าต้องฉีด 2 เข็มต่อมาพบว่าเราสามารถไขว้ชนิดได้ ดังนั้น ความรู้ก็ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา จึงมีความจำเป็นมาก ในการมีกฎหมายนี้มาเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้บุคลากร ร่าง จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขฯ เป็นเจตนารมณ์ที่มุ่งให้ประชาชนได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ แต่เราก็ยินดีรับฟังความคิดเห็นต่างๆ เพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมที่สุด ซึ่งยืนยันว่า บุคลากรทั้งรัฐ เอกชน และที่มาเป็นอาสาสมัครต่างยึดมั่นดูแลประชาชนอย่างเต็มที่” นพ.ธเรศ กล่าวและว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความเห็น ก่อนปรับปรุงเสนอ สธ.พิจารณาเสนอเข้าครม.ต่อไป หากประกาศใช้แล้วจะมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่เริ่มประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อควบคุมโรคโควิด-19
ขณะที่ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร กล่าวว่า ในเรื่องการรักษาพยาบาล ซึ่งทุกอย่างเป็นความรู้ใหม่ ก็เรียนรู้ไปด้วยกัน หลายอย่างมีการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันข้อจำกัดของบุคคล ของสถานที่ รวมทั้งบุคลากรก็มี และแตกต่างกัน แต่แม้ร่างกฎหมายจะบอกว่า ไม่ต้องรับผิด แต่ความเป็นจริงบุคลากรทุกคนรับผิดชอบทุกคน