ที่มา | น19 นสพ.มติชน ฉบับวันที่ 7 ธ.ค.2564 |
---|
ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 ของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) บนความมั่นคงทางสุขภาพของผู้ที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยทุกคนยังเต็มไปด้วยความท้าทายไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าหมุดหมายแรกคือ ความครอบคลุม ทั้งมิติการ เข้าถึง และ สิทธิประโยชน์ รักษาพยาบาลจะบรรลุเป้าประสงค์แล้ว หากแต่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยังคงเดินหน้าเพื่อ ยกระดับ บัตรทองต่อไป
ในมุมมองของ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. การเดินทางของบัตรทองตลอด 19 ปี แม้ประชาชนจะได้ประโยชน์จากการเพิ่มสิทธิ-บริการใหม่ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถลบล้างความรู้สึกของ ระบบอนาถา ออกไปได้
นั่นเป็นประเด็นที่ นพ.จเด็จ มองว่าค่อนข้างท้าทายในเส้นทางที่จะก้าวต่อ ควบคู่กับการปรับบทบาทใหญ่ในฐานะที่ สปสช. ได้รับการยกระดับเป็น องค์การมหาชนกลุ่มที่ 1 ที่ไม่เพียงแต่จะปฏิบัติภารกิจของตัวเอง หากแต่ต้องมีส่วนสำคัญในการผลักดันนโยบายในภาพใหญ่ของประเทศด้วย
เข้าใจความไม่มีเหตุผลของมนุษย์
นพ.จเด็จบอกว่า 19 ปี ของ สปสช. อาจมองได้ 2 มิติ นั่นคือ มิติที่ประชาชนได้ประโยชน์จากระบบบัตรทอง และมิติความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้น หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นความล้มเหลวที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
นพ.จเด็จ ยอมรับว่า เรื่องของ กติกา ยังค่อนข้างเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการของประชาชน ผู้ใช้สิทธิบัตรทองยังรู้สึกว่ากติกาของ สปสช.ยุ่งยาก เช่น ต้องลงทะเบียนหน่วยบริการใกล้บ้านก่อนไปรับบริการ หรือต้องใช้ใบส่งตัวเมื่อได้รับการส่งต่อ มากไปกว่านั้น แม้ว่าบัตรทองจะมีสิทธิประโยชน์มาก แต่ประชาชนส่วนหนึ่งกลับไม่ทราบว่าตัวเองมีสิทธิเหล่านั้น ส่งผลให้เข้ารับบริการน้อยกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะสิทธิเรื่องการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ที่ สปสช.จะต้องทบทวน
“เราพบว่าหลายครั้งที่ประชาชนรู้สึกว่าการไปรับบริการด้วยระบบหลักประกัน กึ่งๆ จะถูกมองว่าเป็นระบบอนาถา ทั้งกติกาที่ทำให้รู้สึกไม่สะดวก หรือภาพลักษณ์ที่ไม่พรีเมียม นี่คือความท้าทายของ สปสช. ในทศวรรษต่อไป” นพ.จเด็จ ระบุ
นพ.จเด็จบอกว่า นับจากนี้ สปสช.จะเปลี่ยนวิธีคิด โดยมองไปที่วิธีการไปปรับบริการของประชาชนมากกว่าการมองผ่านมิติของโรค จะนำ ทฤษฎีความไม่มีเหตุผล เข้ามาเป็นฐานคิด ซึ่งอธิบายได้ชัดเจนจาก โรคมะเร็ง ซึ่งประชาชนรู้สึกว่า อยากเข้ารับบริการในสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ มั่นใจ ไม่อยากถูกจำกัด หรือบังคับว่าต้องรักษาในโรงพยาบาลใกล้บ้านเท่านั้น
”สปสช.ได้ออกนโยบาย มะเร็งรักษาที่ไหนก็ได้ที่พร้อม เมื่อต้นปี 2564 ตรงนี้ช่วยปลดเปลื้องความรู้สึกของประชาชนได้ทันทีว่าเขาจะไม่ถูกบังคับอีกต่อไป และเมื่อพิจารณาจากสถิติก็พบว่าผู้ป่วยกว่าร้อยละ 80 ยังคงรักษาต่อที่หน่วยบริการเดิม มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น ที่ย้ายหน่วยบริการ ในอดีต เราคิดว่าการให้สิทธิเช่นนี้จะทำให้เกิดความยุ่งยาก ระบบจะปั่นป่วน แต่ในความจริงกลับตรงกันข้าม นี่คือตัวอย่างของทฤษฎีความไม่มีเหตุผลของมนุษย์” นพ.จเด็จอธิบาย
เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า เช่นเดียวกับการบังคับให้ประชาชนต้องลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการใกล้บ้านเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจ ซึ่งเราเข้าใจผิดมาโดยตลอด เพราะเมื่อเปิดให้ผู้ป่วยไปรักษายังหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ ปรากฏว่าตัวเลขก็คล้ายคลึงกัน นั่นคือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่เข้ารับการรักษาที่เดิม แต่จะรู้สึกดีขึ้นกับระบบ นี่คือความแปลกประหลาดของมนุษย์
“มีหลายเรื่องที่ทำแล้วดีขึ้น เช่น ปีที่ผ่านมา สปสช.เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนหน่วยบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ และสามารถไปรับบริการที่ไหนก็ได้ โดย สปสช.จะตามไปจ่าย ซึ่งตรงนี้ถือเป็นเรื่องของความพอใจ หลายคนอาจจะมองว่าเป็นแค่ลูกเล่น แต่สำหรับ สปสช.กลับมองว่าเป็นการปฏิรูปใหญ่” นพ.จเด็จกล่าว
นพ.จเด็จย้ำว่า หลังจากนี้ สปสช.จะยึดเอาความต้องการ และความสะดวกสบายของประชาชนเป็นหลัก ไม่ใช่เอากติกาของรัฐเป็นหลัก
“ลงพื้นที่แต่ละครั้ง ผมจะไปดูพฤติกรรมและความต้องการเขา และนำโจทย์นั้นมาตีว่าเราควรจะออกแบบกติกาอย่างไร เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้รับบริการมากที่สุด ฉะนั้น ในปีต่อไป สปสช.จะต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ โดยเอาความรู้สึกหรือพฤติกรรมของชาวบ้านเป็นตัวตั้ง” นพ.จเด็จกล่าว และว่า สปสช.ต้องศึกษาให้มากขึ้น ลงไปอยู่กับชาวบ้านมากขึ้น เพื่อให้เข้าใจเขาให้ได้มากที่สุด
รวดเร็วคือชัยชนะ
นอกเหนือจากการปรับมุมมองและการปรับบริการในมิติของประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทองแล้ว อีกหนึ่งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับระบบก็คือ สถานบริการ
นพ.จเด็จบอกว่า ทุกวันนี้ความพึงพอใจของหน่วยบริการต่อ สปสช. ยังไม่ดีเท่าที่ควร ประเด็นสำคัญเป็นไปเช่นเดียวกับผู้รับบริการ นั่นคือ กฎกติกาที่มีความซับซ้อนสูง ส่งผลให้เบิกจ่ายได้ยากและล่าช้า หนำซ้ำวันดีคืนดียังมีโอกาสถูกเรียกเงินคืนด้วย
“สำหรับก้าวต่อไปของบัตรทอง จะมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนกติกาให้เป็นมิตรกับหน่วยบริการและสอดคล้องกับการทำงานจริงมากขึ้น โดยสิ่งที่ได้ดำเนินการแล้วคือ การเปลี่ยนระบบเบิกจ่าย โดย สปสช.จะเบิกจ่ายเร็วขึ้นในทุก 2 สัปดาห์ การันตีว่าหน่วยบริการจะมีกระแสเงินสดเข้าไปหมุนเวียนเพื่อจัดบริการให้แก่ประชาชน แต่ขณะเดียวกัน สปสช.จะตรวจสอบอย่างเข้มข้นกว่าเดิม โดยตรวจก่อนจ่าย 100% เคยมีคนถามว่า ทำไมยังมีโรงพยาบาลเอกชนเก็บเงินคนไข้ที่เข้ารับการรักษาโควิด ผมก็ตอบไปว่าเพราะ สปสช.จ่ายเงินช้าเกินไป โรงพยาบาลไม่มั่นใจว่าจะได้รับเงินเมื่อไรจึงต้องเรียกเก็บจากประชาชนไว้ก่อน แต่เมื่อ สปสช.ประกาศว่าจะจ่ายให้ทุก 2 สัปดาห์ แต่คุณต้องเลิกเก็บเงินจากประชาชน เมื่อทำได้จริง โรงพยาบาลก็มั่นใจขึ้น ที่สุดแล้วก็ไม่เก็บเงินจากผู้ป่วย” นพ.จเด็จระบุ
เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า การอำนวยความสะดวกให้ผู้รับบริการและผู้ให้บริการต้องสัมพันธ์กัน โดย สปสช.มีงบประมาณเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้หน่วยบริการจัดบริการแก่ประชาชนอย่างมีคุณภาพ หากทำได้อย่างมีประสิทธิผล ทุกฝ่ายพึงพอใจ ก็จะสามารถรบล้างทัศนคติจากรัฐบาลได้ว่ากองทุนบัตรทองใช้เงินเพิ่มขึ้นทุกปี
“ถ้าดูเงินที่ใช้ในสถานการณ์โควิด-19 เห็นได้ว่าใช้เยอะมาก คือเกือบครึ่งหนึ่งของงบประมาณประจำปี ขณะนี้ใช้ไปแล้ว 5 หมื่นล้านบาท แต่ไม่ถูกตำหนิ เพราะรัฐบาลไม่รู้สึกว่ามันแพง ยิ่งเมื่อเทียบกับความเสียหายทางเศรษฐกิจแล้ว ถูกมาก ดังนั้น วันนี้ เราจำเป็นจะต้องทำงานทั้ง 3 ส่วน คือ ประชาชน หน่วยบริการ และรัฐบาล” นพ.จเด็จ กล่าวและว่า จะเรื่องใดก็ตาม การทำงานจะช้าไม่ได้ เพราะความเร็ว คือ ชัยชนะ อย่างเรื่องความเสียหายจากการรับวัคซีน ต้องขีดเส้นเลยว่าภายใน 5 วันต้องจ่าย จะเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องพร้อมโอนเงิน เพราะนี่เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความจริงใจ คือ การช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหาย
บทบาทใหม่ผู้เสนอนโยบายแห่งรัฐ
ทุกวันนี้ สปสช.ยกระดับเป็นองค์การมหาชน ระดับที่ 1 จากระดับที่ 3 ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2563 ทำให้บทบาทของ สปสช. ขยายเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่มีหน้าที่ให้บริการประชาชนผ่านกลไกทางการเงิน เปลี่ยนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการเสนอนโยบายในภาพรวมของประเทศ
นพ.จเด็จ อธิบายว่า สปสช. เป็นองค์การมหาชน ระดับที่ 1 หมายถึงองค์การที่มีผลงานที่ดี โปร่งใส และน่าเชื่อถือ ดังนั้น นี่จึงเป็นโอกาสดีที่ สปสช.สามารถเสนอความคิดเห็น หรือนโยบายต่างๆ ต่อรัฐบาลได้ และเชื่อว่ารัฐบาลจะรับฟังข้อเสนอมากขึ้น
นพ.จเด็จ กล่าวว่า เมื่อมีบทบาทและมีโอกาสในการนำเสนอนโยบายต่อรัฐบาลแล้ว ต้องเลือกเรื่องที่จะคลี่คลายความเดือดร้อนของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ ที่สำคัญคือต้องมี กึ๋น คือ ต้องดูว่าเรื่องที่จะเสนอไปนั้นไม่สร้างภาระงบประมาณให้แก่รัฐบาลมาก คือ ทำให้ประชาชนพอใจ โรงพยาบาลรับได้ รัฐบาลไม่มีปัญหา ถ้าทุกฝ่าย วิน-วิน นโยบายก็จะเดินไปได้ด้วยดี และนี่คือบทบาทใหม่ของ สปสช.นับจากนี้
“ปีหน้า สปสช.จะเสนอ 26 เรื่อง หนึ่งในนั้นคือ เรื่องห้องฉุกเฉินคุณภาพ เพราะ pain point ของประชาชนขณะนี้มี 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ โรคราคาแพง โรคร้ายแรง และฉุกเฉิน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกลไกการเงินไปสนับสนุนโรงพยาบาลพัฒนาห้องฉุกเฉินให้พร้อม มีคุณภาพ สปสช.จะสร้างกลไกนี้ เพื่อเอางบไปเสริม ให้โรงพยาบาลรัฐเป็นที่พึ่งของประชาชน” นพ.จเด็จ ระบุ
ปรับโครงสร้าง สร้างกำแพงที่แกร่ง
มากไปกว่าการขยับบทบาทมาเป็นผู้เสนอนโยบาย สิ่งที่ สปสช. ต้องทำคู่ขนาน คือ การสร้างกำแพงหลังบ้านให้ดี เพื่อยกเครื่ององค์การให้มีสมรรถนะ พร้อมต่อการปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์ที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“ผมประกาศวิสัยทัศน์และนโยบายใน 100 วันแรก ว่าจะ Change องค์กร ซึ่งก็ได้รับการตอบรับในทิศทางที่ดี ถัดจากนั้น ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร เพื่อความคล่องตัว และเหมาะสมกับภารกิจ จัดคนที่ถนัดมาอยู่ในที่ที่ถูกต้อง” นพ.จเด็จ กล่าวและว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การตั้งโครงสร้างใหม่ขึ้นมาเพิ่มเติมเพื่อปฏิบัติภารกิจเฉพาะ ได้แก่ การบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ซึ่ง สปสช.ทราบดีว่านี่ยังเป็นจุดอ่อน ประชาชนบางคนยังไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ ดังนั้น จึงต้องระดมกำลังทำงานนี้เพื่อให้ประชาชนรับรู้ และเข้าถึงบริการ รวมถึงโครงสร้างของระบบติดตามและประเมินผลโครงการ (M&E) ที่ต้องเพิ่มกำลังคนมาขับเคลื่อนงานให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
ในอดีต เราทำงานแบบระบบราชการ เลขาธิการต้องนั่งอยู่ข้างบน สั่งงานผ่านรองเลขาฯ แต่วันนี้ ไม่ใช่อีกแล้ว เพราะองค์กรไม่ได้ใหญ่ การตัดสินใจสำคัญจึงต้องอาศัยการรวมหมู่ เมื่อเราตั้ง Achievement ใน 3 เดือน เพื่อให้เห็นทิศทางไปแล้ว พอครบ 6 เดือน ก็จะสร้างกำแพงที่มั่นคงขึ้นได้
ถามหาคุณภาพ มากกว่าการเข้าถึง
นพ.จเด็จ กล่าวถึงจุดเน้นและพยากรณ์อนาคตอีก 1-2 ปีข้างหน้า ว่า คุณภาพบริการ จะเป็นเรื่องสำคัญที่ถูกพูดถึงมากที่สุด เพราะเมื่อประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้แล้ว จะเกิดการเปรียบเทียบว่าคุณภาพของแต่ละหน่วยบริการแตกต่างกันอย่างไร ฉะนั้น คุณภาพจะเป็นสิ่งที่ประชาชนถามหา ทว่าคุณภาพบริการไม่ได้เกิดขึ้นจาก สปสช. แต่จะเกิดจากหน่วยบริการเอง โดย สปสช.เป็นเพียงองคาพยพในการสร้างความมั่นใจให้หน่วยบริการมั่นใจว่ามี สปสช. ดูแลกลไกทางการเงินอยู่ เพื่อจัดบริการที่มีคุณภาพได้
“เวลาลงไปเยี่ยมหน่วยบริการ ผมจะไปสั่งให้เขาทำโน่น ทำนี่ ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เจ้านาย ผมมีหน้าที่ให้คำแนะนำว่าเรื่องไหนที่น่าทำ เรื่องไหนที่ทำแล้วจะได้เงิน ซึ่งจะนำไปสู่คุณภาพในการให้บริการ” นพ.จเด็จ กล่าว และว่า นอกเหนือจากกลไกทางการเงินแล้ว การตรวจสอบคุณภาพก็เป็นประเด็นที่ต้องเดินคู่กันไป โดย พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ตั้งกลไกที่เรียกว่า คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข มีหน้าที่ดูแลทั้งเรื่องมาตรฐานและคุณภาพการให้บริการ ขณะนี้ ประธานคณะกรรมการ มีนโยบายว่าอยากจะดูเรื่องนี้มากขึ้น
นพ.จเด็จ กล่าวว่า สปสช. มีหน้าที่เพียงเอาข้อมูลใส่มือคณะกรรมการให้ได้มากที่สุด เช่น มีคนไข้ล้างไตพื้นที่นี้ บอกว่าล้างไตไม่ครบตามคุณภาพ เมื่อคณะกรรมการเห็นข้อมูล ก็จะถามเองว่ามันพื้นที่ไหน โรงพยาบาลอะไร ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ฉะนั้นสิ่งที่ สปสช.จะต้องทำให้มากขึ้นคือ การคืนข้อมูลให้กับทุกหน่วยงาน ทั้ง Data และ Information ด้วย
อีกหนึ่งประเด็นเรื่องคุณภาพ คือ การจัดซื้อและการใช้งบอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดย สปสช. ต้องดึงจุดแข็งของ Purchasing Power หรือพลังในการจัดซื้อออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เนื่องจาก สปสช.มีเงินมาก จัดซื้อทีละมากๆ ฉะนั้น ต้องได้ของที่ราคาถูกกว่าการจัดซื้อแบบปลีกโดยทั่วไป
“ถ้าสามารถสร้างบทบาทนี้ได้ เชื่อว่าภาพรวมของต้นทุนจะลดลง ดังนั้น ผมเชื่อว่าในระยะต่อไป ความสำเร็จจะไปสู่ในเรื่องของการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ใช้เงินลดลง” นพ.จเด็จ กล่าวพร้อมทิ้งท้ายว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก มียาหลายตัวที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคได้สูงกว่าในอดีต บางโรคที่รักษาไม่หาย ปัจจุบันกลับมียาที่รักษาได้หายขาด ฉะนั้น วันนี้อาจจะไม่ใช่การมองเรื่องสิทธิประโยชน์ใหม่ หรือขยายสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม แต่เป็นการมองเพื่อหาทางเลือกใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเข้ามาใช้ในสิทธิประโยชน์เดิม ในราคาที่ถูกลง