หมอยงยันบูสต์วัคซีนโควิด mRNA ภูมิขึ้น 200 เท่า ชี้โอมิครอนแพร่เร็ว ก๊ง 10 คน ติดยกวง
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในช่วงหนึ่งของการเผยแพร่ความรู้ผ่าน Webinar LIVE COVID-19 Vaccine Quarterly Outlook จัดโดยบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ว่าทั่วโลกพบสถานการณ์โควิด-19 ระบาดรวม 4 ระลอกแล้ว ปี 2564 พบทั้งสายพันธุ์จี, อัลฟ่า, เดลต้า และสายพันธุ์ใหม่ล่าสุด โอมิครอน จากรายงานจีเสส (GISAID) พบว่า จำนวนรหัสพันธุกรรมโอมิครอนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เชื่อว่าไม่เกิน 1-2 เดือน จะเข้ามาแทนที่เดลต้าแน่นอนเพราะติดต่อได้ง่ายกว่า
“เดิมโอมิครอนมีจุดกำเนิดที่แอฟริกา แต่ตอนนี้กระจายไปครึ่งโลก เนื่องจากยุโรปและอเมริกาเป็นแหล่งกระจายโรคได้ดี โดยที่ศูนย์เชี่ยวชาญฯ ตรวจวินิจฉัยจากตัวอย่างที่ถูกส่งตรวจ 96 คน พบเป็นโอมิครอน 40-50 คน แสดงว่าเชื้อแพร่ได้รวดเร็ว ซึ่งการระบาดในระลอกที่ 3 และระลอกที่ 4 แทบแยกจากกันไม่ออก แต่เชื่อว่าหลังปีใหม่ 2565 จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดในระลอกที่ 5 ขึ้นแน่หากเราไม่ช่วยกัน” ศ.นพ.ยงกล่าว
ศ.นพ.ยงกล่าวว่า ขณะนี้ศูนย์เชี่ยวชาญฯ เตรียมถ่ายวิธีการตรวจให้กับสถานพยาบาลอื่น เพื่อการตรวจหาเชื้อโอมิครอนใช้การถอดรหัสพันธุกรรม ด้วยเทคนิคการตรวจที่รวดเร็วภายใน 4 ชั่วโมง (ชม.) ทั้งนี้ สาเหตุที่โอมิครอนหลุดออกจากระบบไม่กักตัว (Test & Go) มากกว่าระบบอื่น เช่น กรณีสามีชาวฝรั่งเศสและภรรยาที่เป็นช่างเสริมสวยเดินทางเข้าประเทศไทย ตรวจต้นทาง RT-PCR ไม่พบ ตรวจเมื่อเข้าประเทศไทยซ้ำใน 24 ชม. ก็ไม่พบ หลังไม่พบไปจิบไวน์กับเพื่อนที่บาร์ 11 คน จากนั้นไม่นานมี 1 คน ไม่สบายนอนโรงพยาบาล (รพ.) ตรวจพบเชื้อโอมิครอน สันนิษฐานติดจากสามีภรรยา และจากนั้นเพื่อนทั้งหมดก็ติดโอมิครอน
“เชื่อว่าสามีภรรยานี้ติดเชื้อมาจากฝรั่งเศส เช่นเดียวกับเคสครอบครัวที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ลูกสาวติดโอมิครอนแล้วกักตัว แต่พ่อแม่และน้องชายไม่ติด จึงไม่กักตัว แต่อีก 2-3 วันก็ติด ซึ่งในช่วงเวลานั้นทั้ง 3 คนก็ไปทำกิจกรรมอื่น ก็เท่ากับมีการแพร่เชื้อในสังคม จะเห็นว่าขบวนการ T&G ไม่สามารถป้องกันโอมิครอนได้เลย ส่วนเคสข้าราชการระดับสูงมีไปประชุมร่วมหลายที่ ป่วยนอนแอดมิตที่ รพ.เอกชน ตรวจพบเชื้อโอมิครอน ลองนึกภาพว่าการทำงานต้องเดินทางไปไหนเยอะแยะ ติดต่อผู้คนมากมาย แสดงให้เห็นว่าเชื้อติดง่ายมาก จากสายพันธุ์อู่ฮั่น 10 คน กินเหล้าร่วมกันติด 2-3 คน มาเป็นสายพันธุ์เดลต้า 10 คน ติดเชื้อ 6-7 คน และโอมิครอน 10 คน ติดทั้ง 10 คน และเชื้อโอมิครอนหลบภูมิคุ้มกันได้ คนที่ติดส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนมาแล้ว 2 เข็ม แต่ไม่ว่าจะยี่ห้อไหน ชนิดไหน อัตราการรักษาใน รพ.ต่ำกว่าเดลต้า แสดงว่ารุนแรงน้อยกว่า แต่ไม่สามารถระบุได้ชัดว่าที่โรคมีความรุนแรงน้อยลงเพราะเชื้อ หรือเพราะคนรับวัคซีน แต่ที่แน่นอนเชื้อไวรัสโอมิครอนชอบเยื่อบุคอมากกว่าปอด” ศ.นพ.ยงกล่าว
ศ.นพ.ยงกล่าวว่า ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้วัคซีนเข็มกระตุ้น หรือเข็มที่ 3 โดยไม่ต้องรอให้ครบ 6 เดือน เนื่องจากภูมิคุ้มกันจะสูงใน 3 เดือนแรก และจากนั้นเดือนที่ 5 ภูมิคุ้มกันในเดือนที่ 4-5 ก็จะเริ่มลดลง อีกทั้งเป็นช่วงรอยต่อของเชื้อโอมิครอนที่แพร่เร็ว และหากรอนานไว้ แม้ภูมิคุ้นกันสูง และก็เสี่ยงติดเชื้อ จึงต้องร่นระยะเวลาการรับวัคซีนให้เร็วขึ้นเป็น 3 เดือนขึ้นไป โดยการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ในกลุ่มวัคซีนเชื้อตายพบว่าภูมิขึ้น 10 เท่า แต่ถ้าเป็นไวรัสเวกเตอร์ภูมิขึ้น 100 เท่า และหากเป็น mRNA ภูมิคุ้มกันจะขึ้น 200 เท่า
“ทั้งไวรัสเวกเตอร์ และ mRNA ให้ภูมิสูงต่อสู้โอมิครอนได้ แต่ภูมิที่ขึ้นเร็ว ก็ลงเร็ว เป็นธรรมดา โดยการศึกษาพบว่าใน mRNA ไม่ว่าจะรับครึ่งโดส หรือเต็มโดสภูมิขึ้นและต้องลงเป็นเรื่องปกติร่างกาย ไม่มีความแตกต่าง ขณะนี้ทางศูนย์กำลังวิจัยเรื่องวัคซีนเข็มที่ 3 ทุกชนิดต่อเชื้อโอมิครอน” ศ.นพ.ยงกล่าว และว่า จากการศึกษาการฉีดเชื้อตาย เข็มที่ 1 แล้วตามด้วย mRNA สูตรไขว้ ซิโนแวค+ไฟเซอร์ ในผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป 60 คน พบว่าภูมิคุ้มกันเท่ากับการรับไฟเซอร์ 2 เข็ม ส่วนการฉีดวัคซีนในเด็กที่จะต้องรับ mRNA 2 เข็ม หากรับสูตรไขว้ด้วยเชื้อตาย ตามด้วย mRNA เชื่อว่าจะลดอาการข้างเคียง กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้
ทั้งนี้ ศ.นพ.ยงกล่าวว่า การตัดสินใจรับวัคซีนเป็นดุลพินิจของผู้ปกครอง ไม่สามารถบอกว่าได้อะไรดีกว่ากัน
“ส่วนการฉีดวัคซีนในเด็กเล็ก 5-11 ปี แม้มีความปลอดภัยแต่จำนวนโดสที่ให้เด็กต้องแตกต่างกับผู้ใหญ่ ในสัดส่วน 1 ใน 3 เพราะช่วงตัดอายุเด็กกับผู้ใหญ่มีความใกล้เคียงกันที่ 11 ปี กับ 12 ปี มีความใกล้เคียงกัน ส่วนวัคซีนเข็มที่ 4 ที่พบว่าบางคนไปรับการฉีดใกล้เคียงกับเข็มที่ 3 พบว่าให้ภูมิไม่แตกต่างกัน เพราะภูมิที่ขึ้นสูง ก็ลงเร็ว โดยเข็มที่ 4 ควรพิจารณาให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มเสี่ยงก่อน และจนถึงขณะนี้ทั่วโลกก็ยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อโอมิครอนโดยเฉพาะ” ศ.นพ.ยงกล่าว