จับตา! หลังสงกรานต์ชี้วัดโควิดโรคประจำถิ่น หมอศิริราชเผยผลวิจัยวัคซีนลดอาการอักเสบ

จับตา! หลังสงกรานต์ชี้วัดโควิดโรคประจำถิ่น หมอศิริราชเผยผลวิจัยวัคซีนลดอาการอักเสบ

วันนี้ (22 มีนาคม 2565) ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินหน้าแผนปรับโรคโควิด-19 ให้เป็นโรคประจำถิ่น ว่าต้องจับตาประเมินสถานการณ์หลังเทศกาลสงกรานต์นี้ ที่จะเป็นจุดชี้ว่า ประเทศไทยพร้อมหรือไม่ในการนำโรคโควิด-19 เข้าไปสู่โรคประจำท้องถิ่น

“ถ้าหากช่วงสงกรานต์ที่เป็นช่วงเสี่ยงแล้วเราผ่านไปได้ดี คนไทยเข้าใจโรคโควิด-19 วิถีชีวิตในช่วงสงกรานต์นี้ก็จะต่อเนื่องไป ที่จะให้เดินทางไปเยี่ยมครอบครัวได้ เดินทางข้ามจังหวัดได้ ดังนั้น ระวังในจุดที่พึงระวัง ถ้าเราผ่านสงกรานต์ไปด้วยดี ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 มากขึ้นอีก สิ่งที่เราเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทยคือ คนที่หายจากการติดเชื้อที่เฉลี่ยวันละ 20,000 คน เท่ากับเราจะมีคนที่มีภูมิคุ้มกันมากเกิดขึ้น ทั้งจากวัคซีนและหายจากโรคเพิ่มขึ้นมากมายในสังคม เชื่อว่าถึงตอนนั้นเราจะเห็นข้อบ่งชี้ที่ทำให้โควิด-19 กลายเป็นประจำท้องถิ่นได้” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า ในการใช้ยารักษาผู้ป่วยโควิด-19 อาทิ โมลนูพิราเวียร์ แพกซ์โลวิด ฯลฯ เกิดขึ้นระหว่างการระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า แต่ขณะนี้เป็นสายพันธุ์โอมิครอนที่ข้อมูลทั่วโลกเห็นตรงกันว่า ผ่านมา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 พบว่า คนฉีดวัคซีนอย่างน้อย 3 โดส แล้วติดเชื้อโอมิครอน ความรุนแรงของโรคน้อยลงมากจริงๆ

“แม้ว่ายา 2 ตัวมีรายงานว่ามีประสิทธิภาพดี แต่ยาฟาวิพิราเวียร์ ก็มีรายงานว่าได้ผลดีเช่นกัน เพียงแต่เราไม่ได้พูดถึง เราพูดถึงแต่ยาใหม่ ถ้าหากเชื้อโอมิครอนรุนแรงกว่าเชื้อเดลต้า ผมเห็นด้วยที่จะพูดถึงยาใหม่ แต่ขณะนี้ไม่ใช่ เพราะเชื้อขณะนี้มีความรุนแรงน้อยกว่า และคนมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น เชื่อว่ายาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้ มีข้อมูลโดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ใช้รักษาผู้ป่วยกว่า 2 ล้านเม็ด มีกระทั่งคำถามว่ายายังมีความจำเป็นหรือไม่ เหมือนเราเป็นหวัด ปกติก็ไม่ได้รับประทานยา ใช้การพักผ่อนให้มาก เพียงแต่ตอนนี้ยาเหล่านี้เป็นตัวเลือกในกลุ่ม 608 ที่เสี่ยงต่ออาการรุนแรง” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว

Advertisement

ผู้สื่อข่าวถามถึงอาการลองโควิด ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้การเคลื่อนสู่โรคประจำท้องถิ่นแต่ยังมีคำถามถึงลองโควิด หรือ Post Covid-19 มีการสัมมนาใหญ่ที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ พบว่า โดยเฉลี่ยอาการลองโควิดเกิดขึ้นไม่ว่าจากสายพันธุ์ใด ประมาณร้อยละ 15-30 ของคนติดเชื้อ มีมากกว่า 50 อาการ ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงมากขึ้น

“โดยข้อสรุปคือ อาการลองโควิดเป็นอาการจริง แต่เดิมที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจเกิดขึ้นจากความกังวล ส่วนกลไกเกิดที่เคยคุยกันว่าอาจเกิดจาก 1.ไวรัส หรือ 2.ระบบภูมิคุ้มกันที่มีปฏิกิริยาต่อไวรัส หรือ 3.เรื่องจิตใจ การสัมมนาทั้ง 2 แห่งก็เห็นตรงกันว่า น่าจะเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของเราเองที่ยังมีการกระตุ้น ทำให้บางคนที่หายแล้วแต่ยังมีการอักเสบในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการลองโควิด ทั้งนี้ ทั่วโลกกำลังศึกษากลไกการเกิดที่แท้จริงจากการติดตามผู้ป่วยที่หายเป็นระยะๆ” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว

ทั้งนี้ ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้ตนพบรายงานเดียวจากการศึกษาแต่ยังไม่ได้รับการยืนยันเพิ่มเติมการศึกษาอื่นๆ ซึ่งพบว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 มีอุบัติการณ์เกิดอาการลองโควิดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ฉีด ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในข้อคิดให้คนไปรับวัคซีน ดีกว่าติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานต่างๆ โดย สธ.มีการกำหนดตั้งทีมติดตามอาการลองโควิด และเฝ้าติดตามข้อมูลทั่วโลกในแนวทางการรักษาต่อไปด้วย

Advertisement

“นิยามของลองโควิดคือ หายจากติดเชื้อแล้ว แต่มีอาการติดตัวอยู่ บางส่วนขึ้นสมอง บางคนรู้สึกสมองตื้อตลอดเวลา ไม่กระฉับกระเฉง มีรายงานนักกีฬาในอังกฤษพบว่ากล้ามเนื้อไม่แข็งแรงเหมือนเดิม” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image