ทีมแพทย์ศิริราช ปลูกถ่ายลำไส้ฯ สำเร็จรายแรกในไทย

ทีมแพทย์ศิริราช ปลูกถ่ายลำไส้ฯ สำเร็จรายแรกในไทย

วันนี้ (22 มี.ค. 65) ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานแถลงข่าว “ศิริราชปลูกถ่ายลำไส้และอวัยวะในช่องท้อง…สำเร็จเป็นรายแรกในประเทศไทย” โดยมี รศ.นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล (รพ.) ศิริราช รศ.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร รองผู้อำนวยการ รพ.ศิริราช ประธานกรรมการดำเนินการงานเปลี่ยนอวัยวะศิริราช และหัวหน้าทีมศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะ พร้อมด้วยทีมศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะ และ นางนภัคพร บุญญาภิสิทธิ์ ผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะร่วมแถลง ที่ รพ.ศิริราช

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นอีกวันสำคัญที่ศิริราชประสบผลสำเร็จในการปลูกถ่ายลำไส้และอวัยวะในช่องท้องพร้อมกันในผู้ป่วยรายเดียว สำเร็จเป็นรายแรกของประเทศไทย ซึ่งการปลูกถ่ายอวัยวะนั้น ศิริราชดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2514 และปลูกถ่ายไตสำเร็จเป็นรายแรก เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2516 ต่อมาจึงมีการปลูกถ่ายอวัยวะอื่นที่สำคัญ ได้แก่ ไต หัวใจ ปอด ตับ ตับอ่อน โดยมีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องในทุกปีจนถึงปัจจุบัน นับเป็นหนึ่งใน รพ.ที่ปลูกถ่ายอวัยวะมากที่สุดในประเทศไทย

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า การปลูกถ่ายอวัยวะถือเป็นการรักษามาตรฐานสำหรับผู้ป่วยที่มีการไม่ทำงานของอวัยวะต่างๆ ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ในต่างประเทศเริ่มมีการผ่าตัดปลูกถ่ายลำไส้เพื่อรักษาภาวะลำไส้ทำงานล้มเหลวและภาวะลำไส้สั้นมานานแล้ว แต่เนื่องจากมีกระบวนการผ่าตัดรักษาที่ซับซ้อน มีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สูง จึงไม่เป็นที่แพร่หลาย แม้ในสหรัฐอเมริกาที่มีการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะมากที่สุด ยังมีการผ่าตัดปลูกถ่ายลำไส้เพียงปีละไม่เกิน 200 ราย แต่ วันนี้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯ ประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายลำไส้และอวัยวะในช่องท้องสำเร็จเป็นรายแรกของประเทศไทย

Advertisement

 

รศ.นพ.วิศิษฎ์ กล่าวว่า ในปี 2536 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯ จัดตั้งงานเปลี่ยนอวัยวะขึ้น มีบุคลากรปฏิบัติงานประจำ มีพยาบาลประสานงานปลูกถ่ายอวัยวะปฏิบัติงานเต็มเวลาเป็นแห่งแรกของประเทศ ได้จัดตั้งหอผู้ป่วยเปลี่ยนอวัยวะโดยเฉพาะ ซึ่งนับเป็นสถาบันแรกของประเทศไทยที่มีการให้บริการปลูกถ่ายอวัยวะครบวงจร และให้บริการปลูกถ่ายอวัยวะแก่ผู้ป่วยทุกสิทธิการรักษา พร้อมจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ป่วยเปลี่ยนอวัยวะรายที่มีความจำเป็นมาอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ รศ.นพ.ยงยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จของการปลูกถ่ายลำไส้และอวัยวะในช่องท้องแก่ผู้ป่วยในครั้งนี้ มีทีมศัลยแพทย์ร่วมปลูกถ่ายอวัยวะ ประกอบด้วย ตนในฐานะหัวหน้าทีมฯ ผศ.นพ.สมชัย ลิ้มศรีจำเริญ ผศ.นพ.ประวัฒน์ โฆสิตะมงคล และ รศ.นพ.เวธิต ดำรงกิตติกุล ศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะ

รศ.นพ.เวธิต กล่าวว่า ทีมศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะได้รับผู้ป่วยที่ผ่าตัดเนื้องอกที่ลำไส้เล็กส่วนต้น แต่เกิดภาวะลำไส้สั้น ไม่สามารถกินอาหารและดูดซึมสารอาหารได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตมาดูแลต่อที่ รพ.ศิริราช และทำการประเมินอาการผู้ป่วยโดยละเอียดพบว่า นอกจากภาวะลำไส้สั้นแล้ว ยังมีปัญหาสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยได้รับความทุกข์ทรมาน คือ บาดแผลเปิดขนาดใหญ่ที่หน้าท้อง ซึ่งมีน้ำย่อยของกระเพาะอาหารรั่วออกมาตลอดเวลา ซึ่งจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ทำแผลชนิดพิเศษ และทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดอยู่ตลอด ทีมศัลยแพทย์ฯ จึงทำการผ่าตัดเพื่อปิดบาดแผลนั้น และตัดเนื้อเยื่อที่ตับของผู้ป่วยตรวจดูเพิ่มเติม หลังการผ่าตัดครั้งแรกผู้ป่วยมีอาการปวดลดลงเนื่องจากไม่มีแผลเปิดขนาดใหญ่ที่หน้าท้องแล้ว การดูแลแผลง่ายขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจที่ดีขึ้นมาก ภายหลังการผ่าตัดครั้งแรก ได้มีการประชุมทีมสหสาขาเพื่อวางแผนการรักษาผู้ป่วยต่อ

“จากการตัดชิ้นเนื้อตับตรวจพบว่า ผู้ป่วยมีภาวะตับอักเสบเรื้อรังจากการให้สารอาหารทางหลอดเลือดและมีความจำเป็นต้องปลูกถ่ายลำไส้ ตับ ตับอ่อน และกระเพาะอาหารในคราวเดียวกัน จึงจะทำให้ผู้ป่วยหายป่วยได้ แต่เนื่องจากการปลูกถ่ายลำไส้นั้นเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยทำมาก่อนในประเทศไทย ทีมฯ จึงต้องประชุม
วางแผนและเตรียมการกันหลายด้าน เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการผ่าตัดใส่อวัยวะให้ผู้ป่วย การผ่าตัดนำอวัยวะออกจากผู้บริจาคสมองตาย การกดภูมิคุ้มกันให้ผู้ป่วยซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาหลายชนิดในขนาดสูงประกอบกัน นอกจากนี้ ยังวางแผนการฟื้นฟูร่างกายหลังผ่าตัด และกระบวนการตรวจติดตามหลังผ่าตัดในระยะยาวให้ผู้ป่วยด้วย เมื่อทีมฯ ประเมินว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องรักษาด้วยการปลูกถ่ายอวัยวะก็จะลงทะเบียนเพื่อรอรับบริจาคและจัดสรรอวัยวะกับสภากาชาดไทย จากนั้นก็รอเมื่อมีผู้บริจาคที่เหมาะสม สภากาชาดไทยก็แจ้งและประสานงานให้ทีมเดินทางออกไปเพื่อผ่าตัดนำอวัยวะมาปลูกถ่ายให้ผู้ป่วย” รศ.นพ.เวธิต กล่าว

รศ.นพ.เวธิต กล่าวว่า กรณีของผู้ป่วยรายนี้ เนื่องจากลำไส้เป็นอวัยวะที่ค่อนข้างเปราะบาง และทนต่อการขาดเลือดได้ไม่นาน ผู้บริจาคที่เหมาะสมจึงจำเป็นต้องเป็นผู้บริจาคสมองตายที่มีสัญญาณชีพคงตัว ผลตรวจเลือด หมู่เลือดตรงกับผู้ป่วยและการทำงานของระบบต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ดี อยู่ใน รพ.ที่เดินทางได้สะดวกไม่ไกลจาก รพ.ศิริราช มากนัก จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยต้องรออวัยวะบริจาคที่เหมาะสมอยู่เป็นเวลานานกว่า 2 ปี กระทั่งวันที่ 2 เมษายน 2564 ได้รับทราบจากสภากาชาดไทยมีผู้บริจาคอวัยวะสมองตายที่เข้าเกณฑ์ จึงได้ดำเนินการจัดทีม แยกออกเป็นสองทีม ทีมแรกเดินทางไปผ่าตัดนำอวัยวะออกจากผู้บริจาค ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันอีกทีมหนึ่งได้เตรียมการผ่าตัดใส่อวัยวะให้ผู้ป่วยที่ รพ.ศิริราช เมื่อทราบจากทีมผ่าตัดนำอวัยวะออกว่า อวัยวะนั้นดีเหมาะกับการปลูกถ่าย ทีมที่ รพ.ศิริราช ก็เริ่มทำการผ่าตัดให้ผู้ป่วย เพื่อเตรียมช่องท้องและเส้นเลือดให้พร้อม

เมื่อทีมแรกเดินทางกลับมาถึงก็สามารถผ่าตัดใส่อวัยวะได้ทันที การทำงานที่สอดคล้องกันเช่นนี้ทำให้ลดระยะเวลาการขาดเลือดของอวัยวะให้น้อยที่สุด ซึ่งในวันนั้นการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี ใช้เวลาผ่าตัดใส่อวัยวะให้ผู้ป่วยประมาณ 7 ชั่วโมง การผ่าตัดในวันนั้น ลำไส้และอวัยวะอื่นๆ มีการทำงานที่ดีมากตั้งแต่ในห้องผ่าตัด ในช่วงหลังผ่าตัดใหม่ๆ ผู้ป่วยฟื้นตัวได้ดีมาก ใช้เวลาอยู่ในห้อง ICU เพียง 5 วัน หลังจากนั้นผู้ป่วยสามารถเริ่มรับประทานอาหารได้เพิ่มขึ้นจนรับประทานอาหารได้ครบ 3 มื้อ และเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย งดการใช้สารอาหารทางหลอดเลือดได้ทั้งหมดใน 1 เดือนหลังผ่าตัด สามารถกลับบ้านไปใช้ชีวิตกับครอบครัวได้ในวันที่ 12 มิถุนายน 2564 รวมเวลา 72 วันหลังผ่าตัด ปัจจุบันผู้ป่วยอยู่กับครอบครัว และมาติดตามผลการรักษาสม่ำเสมอ จนถึงเวลานี้เกือบ 1 ปีแล้ว อวัยวะทุกอย่างยังทำงานได้ดี และยังไม่พบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image