หมอธีระวัฒน์ แจงปมวัคซีนเข้าข้างไวรัส ยันฉีด 3-4 เข็ม ตามระยะเวลาที่เหมาะสม

หมอธีระวัฒน์ แจงปมวัคซีนเข้าข้างไวรัส ยันฉีด 3-4 เข็ม ตามระยะเวลาที่เหมาะสม

จากกรณีที่มีข้อมูลเผยแพร่ผ่านโลกออนไลน์ประเด็นการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มากเกินไป อาจส่งผลเสียให้เกิดภาวะวัคซีนเข้าข้างไวรัส ที่อาจจะทำให้เกิดอาการรุนแรงมากขึ้นกรณีที่ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความสับสนว่า การฉีดวัคซีนยังมีความจำเป็นหรือไม่ หรือควรรอวัคซีนในรุ่นใหม่นั้น

ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 เมษายน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวชี้แจงในรายการโควิด ฟอรัม (Covid Forum) ที่นี่มีคำตอบ จัดโดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ สมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ ว่า ข้อมูลที่เผยแพร่ออกสาธารณะเป็นการสื่อสารที่ไม่ครบถ้วน โดยข้อเท็จจริงของเนื้อหามีรายละเอียดค่อนข้างมาก

ประการที่ 1 เราทราบดีว่าภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีดวัคซีน หรือหลังติดเชื้อ ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ โดยมีข้อมูลทั่วโลกยืนยันตรงกัน

ประการที่ 2 ต่างฝ่ายเห็นตรงกันว่า การระบาดของเชื้อโอมิครอน ที่วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ แต่ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้

ADVERTISMENT

ประการที่ 3 การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (บูสเตอร์ โดส) ยังมีความจำเป็น

ทั้งนี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า การสื่อสารข้อมูลดังกล่าว เป็นการชี้แจงในกลุ่มผู้ที่มีความกลัวโรคโควิด-19 มากจนอยากฉีดวัคซีนเข็มที่ 5 เข็มที่ 6 หรือเข็มที่ 7 เพื่อกระตุ้นไม่ให้ภูมิคุ้มกันตก

ตรงนี้ต่างหาก ที่เท่ากับเป็นการฉีดวัคซีนโดยไม่จำเป็น ประกอบกับ การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น แนะนำว่าให้ฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง เพื่อลดโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีด การกระตุ้นวัคซีนเข็มที่ 3 หมายความว่า เราเริ่มต้นด้วย วัคซีนไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา 2 เข็ม ยังจำเป็นต้องฉีดเข็มที่ 3 ขณะเดียวกัน การฉีดด้วยวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม ไม่ควรตามด้วยแอสตร้าฯ แต่ควรฉีดด้วย mRNA เป็นเข็มที่ 3 ตรงกับข้อมูลที่องค์กรแพทย์ยุโรปแนะนำ แต่สำหรับประเทศไทยที่มีการฉีดวัคซีนเชื้อตาย 2 เข็ม สิ่งที่เราจะสื่อสารคือ กรณีนี้ควรได้รับอีก 2 เข็ม คือ ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา รวมเป็น 4 เข็ม ฉะนั้น ระดับที่เหมาะสมคือ 3-4 เข็ม” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวอธิบายถึงกรณีหากไปพบกับเชื้อโควิด-19 ใหม่ๆ ที่อาจผันแปรรหัสพันธุกรรม ทำให้ภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำลายได้ ขณะเดียวกันก็อาจมีผลกระทบในทางลบ ว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ.2020–2022 มีตัวเลขข้อมูลภูมิคุ้มกันที่เป็นลบทยอยรายงานออกมาเรื่อยๆ โดยยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยาก ที่ต้องจับตามองใกล้ชิด เนื่องจากมีการพบกลไกดังกล่าวในไวรัสหลายตัว โดยเฉพาะตระกูลโคโรนา

“อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ ได้พัฒนาวิธีตรวจหาภูมิคุ้มกันดีและไม่ดี เพื่อหาผลกระทบว่า จะเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงหรือไม่ ขณะเดียวกัน สามารถทดสอบโปรตีนไม่ดีที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมหลังติดเชื้อโควิด-19 ด้วย ขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษาและตรวจในคนไทย ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนในเข็มที่ 3 หรือเข็มที่ 4 แล้ว ก็อาจประวิงเวลา เพื่อรอให้มีวัคซีนรุ่นใหม่ๆ ที่สามารถต่อต้านการติดเชื้อ รวมถึงลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ กล่าว

ด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวว่า สำหรับข้อมูลชัดเจนคือ การฉีดวัคซีนไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ ส่วนการฉีด 2 เข็ม ลดความรุนแรงของโรคชัดเจน ขณะที่เข็มที่ 3 ก็ยังลดได้เช่นกัน แต่ภูมิคุ้มกันอาจจะลดลงบ้างเนื่องจากเป็นสายพันธุ์โอมิครอน ที่กลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์อู่ฮั่น อย่างไรก็ตาม หากฉีดเข็มกระตุ้นด้วยไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา ก็จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันขึ้นสูงขึ้นได้ ฉะนั้น วัคซีนเข็มที่ 3 และเข็มที่ 4 ยังมีความจำเป็น แต่สำหรับเข็มที่ 5 เป็นต้นไป ถือว่ายังถี่เกินไป อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนเข็มล่าสุด จะช่วงสร้างภูมิคุ้มกันในระดับ 3 เดือน และจะลดลงในช่วง 4 เดือนหลังจากนั้น

รศ.นพ.ธนา ขอเจริญพร ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า ข้อมูลการฉีดวัคซีน เทียบได้กับการเดินทางสายกลาง คือ มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพ หากการฉีดมากเกินไปก็ย่อมเกิดโทษได้ เนื่องจากวัคซีนก็คือยาชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะวัคซีนโควิด-19 ที่เพิ่งผลิตมาใช้ได้เพียง 2 ปี ก็อาจจะมีโทษที่ยังไม่มีใครทราบข้อมูลได้ เช่น ผลข้างเคียงระยะยาว ฉะนั้น ควรจะเลือกใช้ให้พอเหมาะกับประโยชน์ที่จะได้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image