สธ.-ขนส่ง เข้มเดินทางสงกรานต์ ไม่สวมแมสก์ ห้าม! ขึ้นรถ งดกินอาหาร
วันนี้ (12 เมษายน) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย แถลงชี้แจงแนวทางการเดินทางกลับบ้านสงกรานต์ปลอดภัยจากโควิด-19 ว่า ตามที่มีการคาดการณ์ว่าหลังสงกรานต์ 2565 จะมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากขึ้น อาจจะวันละ 50,000-100,000 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่รวมการตรวจทั้ง RT-PCR การตรวจ ATK และที่ไม่ตรวจ เพราะฉะนั้นจึงขึ้นกับการป้องกันทุกฝ่ายในการชะลอ หรือลดการติดเชื้อ รวมถึงมุ่งดูแลผู้เสียชีวิตให้ไม่เกิน 200-250 รายต่อวัน และผู้ป่วยรุนแรงอยู่ในระดับที่ระบบสาธารณสุขรองรับ จึงขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำ โดยมาตรการรับมือโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ได้แก่ 1.มาตรการวัคซีนฉีดครบตามเกณฑ์และควรได้รับเข็มกระตุ้น (บูสเตอร์ โดส) ลดความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิต ซึ่งวัคซีน 3 เข็ม ป้องกันการเสียชีวิตได้ร้อยละ 98-99
นพ.สุววรณชัยกล่าวว่า 2.มาตรการป้องกัน DMHTT บุคคลที่มีความเสี่ยงหรือโอกาสใกล้ชิดผู้ป่วย ควรสวมหน้ากาก 2 ชั้น เป็นหน้ากากผ้ากับหน้ากากอนามัย และต้องสวมให้ถูกต้อง ปิดจมูกปากและกระชับกับใบหน้า และ 3.มาตรการสิ่งแวดล้อมใช้แอลกอฮอล์ ร้อยละ 70 หรือสารทำความสะอาดทั่วไปพิจารณาเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดให้มีการระบายอากาศเข้าและออกได้ เพื่อลดอัตราการติดเชื้อได้
ด้าน นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) กล่าวว่า ในการควบคุมกำกับ และเตรียมการรองรับการป้องกันการแพร่โควิด-19 สำหรับสถานประกอบการ สถานที่เสี่ยง ชุมชน และประชาชนช่วงสงกรานต์ มท.ได้มีการบูรณาการทุกส่วนในพื้นที่โดยใช้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นศูนย์ เพื่อเข้มมาตรการ 3 เรื่อง
1.ระดับครอบครัว ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนทั้งผู้ที่จะเดินทางและผู้อยู่ที่บ้าน
2.ระดับชุมชน ตำบล หมู่บ้าน ให้ ศปก.ตำบล/อำเภอเข้าประสานให้ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุข ส่วนการจัดงานขนาดใหญ่ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ทำการตกลงร่วมกับผู้จัดในการทำมาตรการตามมาตรฐานที่กรมอนามัยกำหนด โดยขณะนี้กว่า 6,000 จุด จัดงานยังให้ความร่วมมืออย่างดี
และ 3.หลังกลับ กำชับให้ทุกจังหวัดประชาชนสัมพันธ์ให้ประชาชนดูแลตนเองสูงสุด
นางชะไมพร โชติมาโนช ผู้อำนวยการสำนักการขนส่งผู้โดยสาร กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยสถานีขนส่งผู้โดยสารจัดสถานที่นั่งรอ และจัดระบบคิวการเข้าซื้อตั๋วโดยสาร การขึ้นรถดยสารให้เป็นไปตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) โดยเว้นระยะที่นั่งหรือยืนห่างกัน เพื่อป้องกันการติดต่อสัมผัสหรือแพร่เชื้อโรคผ่านละอองฝอย สารคัดหลั่งรวมถึงบริเวณจุดรับประทานอาหารและห้องสุขาจัดให้มีการระบายอากาศภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร และทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและเช็ดทำความสะอาดภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร เช่น ช่องจำหน่ายตั๋ว ที่นั่ง ราวจับบันไดหรือบันไดเลื่อนปุ่มกดลิฟต์ และห้องสุขา เป็นต้น รวมทั้งให้กำจัดขยะมูลฝอยทุกวัน
นางชะไมพรกล่าวว่า ส่วนรถโดยสารสาธารณะเช็ดทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสภายในรถด้วยแอลกอฮอล์ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อทุก 2 ชั่วโมง และหมั่นทำความสะอาดจุดเสี่ยงต่อการติดเชื้อเป็นกรณีพิเศษ ทั้งก่อนและหลังการให้บริการ จัดให้มีการระบายอากาศภายในรถโดยสารปรับอากาศ รถตู้โดยสารปรับอากาศ โดยให้พนักงานขับรถพิจารณาจอดพักรถและเปิดประตูหน้าต่าง เพื่อระบายอากาศภายในรถขณะเดินทางทุก 2 ชั่วโมง และทำความสะอาดภายในตัวรถและพื้นผิวสัมผัสภายในรถ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ทั้งก่อนและหลังการให้บริการ พร้อมทั้งเน้นการตรวจสอบการทำงานของระบบระบายอากาศและทำความสะอาด
“ไม่ยินยอมให้ผู้โดยสารที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าขึ้นรถโดยสาร และกำกับ ดูแล ให้พนักงานขับรถ หรือผู้ให้บริการและผู้โดยสาร สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าตลอดการเดินทาง และจัดให้มีหน้ากากสำรองไว้บริการหรือจำหน่ายด้วย งดการให้บริการอาหารบนรถ เว้นแต่กรณีที่มีเหตุจำเป็น ปรับรูปแบบการซื้อตั๋วโดยสารถ่วงหน้าผ่านทางแอพพลิเคชั่น” นางชะไมพรกล่าว
นางชะไมพรกล่าวว่า สำหรับการเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัดหมวด 2 และหมวด 3 เพื่อลดระยะเวลาในการติดต่อ หลีกเลี่ยงการติดต่อสัมผัส และลดความแออัดของผู้ใช้บริการ ตรวจวัดอุณหภูมิก่อนขึ้นรถ หากผู้โดยสารมีอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส หรือไม่ให้ความร่วมมือในการคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ ผู้ให้บริการสามารถปฏิเสธการขึ้นรถโดยสารได้ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งให้กำกับดูแลพนักงานขับรถ และพนักงานบริการรถดยสารสาธารณะฉีดวัคซีนให้ครบก่อนให้บริการ และให้มีการตรวจ ATK เป็นระยะๆ ปฏิบัติตามมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (COVID Free Setting) สำหรับการเดินทางข้ามเขตจังหวัดโดยระบบบริการการขนส่งสาธารณะ
