สาธิต ชี้ทิศทางทำโควิดเป็นโรคประจำถิ่น เน้นพึ่งตนเอง เตรียมรับโรคระบาดใหม่

สาธิต ชี้ทิศทางทำโควิดเป็นโรคประจำถิ่น เน้นพึ่งตนเอง เตรียมรับโรคระบาดใหม่

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่สมาคมโรงพยาบาลเอกชน นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวในระหว่างการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 สมาคมโรงพยาบาลเอกชน (The Private Hospital Association) ถึงทิศทางและนโยบายของภาครัฐ หลังการประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ว่า องค์การอนามัยโลกยังไม่ประกาศสิ้นสุดการระบาดของโรคโควิด-19 หลังจากที่มีการประกาศให้เป็นการระบาดใหญ่ทั่วโลกเมื่อเดือนมีนาคม 2563 เนื่องจากยังมีความกังวลเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของประเทศไทยมีการตั้งเป้าหมายเป็นแนวทางให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นในวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้

ซึ่งขณะนี้สถานการณ์โควิดไทยอยู่ในระยะคงตัวมีแนวโน้มลดลง โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัส พบว่า การกลายพันธุ์ของเชื้อโอมิครอนที่รุนแรงขึ้น ยังไม่นัยสำคัญ แต่เป็นการกลายพันธุ์แขนงเล็กๆ ไม่มีผลต่อการรุนแรงขึ้นหรือติดเชื้อมากกว่าเดิม” นายสาธิตกล่าว

รัฐมนตรีช่วยว่าการ สธ.กล่าวว่า ลักษณะของสังคมเมื่อเข้าสู่ระยะ post pandemic หรือโรคประจำถิ่น คือ 1.ยังคงมีเชื้อก่อโรคอยู่ และเชื้ออาจมีการกลายพันธุ์ 2.ประชาชนมีภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง และมีความรู้ในการป้องกันโรคด้วยตนเอง (Universal prevention) 3.สถานประกอบการ สร้างสภาพแวดล้อมที่ลดการแพร่โรค 4.ชุมชนเฝ้าสังเกตเหตุการณ์ผิดปกติและให้การดูแลผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 5.สธ.มีแนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค และ 6.สถานพยาบาล เน้นดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 และผู้ป่วยโรคอื่นได้ตามมาตรฐาน

Advertisement

นายสาธิตกล่าวว่า ทิศทางและนโยบายด้านสุขภาพ 1.เพิ่มการลงทุนเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้สามารถใช้งานต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ “หมอพร้อม” เป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ โดยมีข้อมูลกว่า 25 ล้านการลงทะเบียน รองจากแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง” อีกทั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำลังมีการหารือในการดำเนินการแพลตฟอร์มแห่งชาติ ซึ่งมีการอนุมัติกรอบวงเงินแล้ว 7,000 ล้านบาท เพื่อจัดทำข้อมูลกลาง ขณะเดียวกัน มีความปลอดภัยของข้อมูลควบคู่ด้วย 2.เตรียมพร้อมรับมือการระบาดครั้งต่อไป และพัฒนาบุคลากรสหสาขา ทั้งการดูแลโรคปกติ โรคไม่ติดต่อ หรือโรคเรื้อรัง รวมทั้ง อาการลองโควิด (Long Covid) 3.พัฒนาสุขภาพ สุขภาวะของผู้คนที่ครอบคลุมถึงกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะในเขตเมือง

รัฐมนตรีช่วยว่าการ สธ.กล่าวว่า 4.ยกระดับขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านวัคซีน ชุดตรวจ ยา และเวชภัณฑ์ โดยรัฐอาจใช้มาตรการทางภาษีส่งเสริมการวิจัยรวมทั้งพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมผลิตยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งในการวิจัยวัคซีนโควิด-19 รัฐได้สนับสนุนงบประมาณ และมี 3 ตัวที่ก้าวหน้ามาก คือ ขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) ใบยา และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้ว่าอาจจะใช้ไม่ทันสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ แต่เชื่อว่าอนาคต ประเทศไทยจะสามารถผลิตวัคซีนได้เอง เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเข้าคิวซื้อวัคซีนเหมือนช่วงที่เกิดโควิด-19 ใหม่ๆ 5.การจัดการขยะทางการแพทย์ระหว่างภาคส่วนต่างๆ เน้นการบริหารจัดการขยะ โดยผู้รับผิดชอบ สถานพยาบาล ท้องถิ่น หน่วยงาน สธ. 6.พัฒนากลยุทธ์ในการบูรณาการข้อมูล และ 7.ค้นหา บันทึก และเผยแพร่ตัวอย่างที่ดี รวมทั้งบทเรียนสำคัญในการจัดการกับการระบาดใหญ่อีก

Advertisement

“หลังโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น จะสามารถสร้างโอกาส สร้างรายได้ สร้างงาน และประเทศมีรายได้จากการเก็บภาษีมากขึ้น สำหรับการใช้ยาต่างๆ ในการรักษาผู้ป่วย อยู่ระหว่างการหารือว่าจะมีการให้ภาคเอกชนดำเนินการได้เองในกลุ่มคนที่มีศักยภาพ ส่วนการผ่อนคลายมาตรการ การปฏิบัติตัว เช่น การถอดหน้ากากอนามัย การผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่และสถานการณ์ โดยจะจัดการภายใต้ความแตกต่างที่เหมือนในต่างประเทศ เช่น บางประเทศ ขณะนี้ที่มีการผ่อนคลายมาตรการ ก็พบว่า มีทั้งผู้ที่สวมและไม่สวมหน้ากากอนามัย ซึ่งก็ไม่ได้มีการบังคับว่าจะต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกคน หลักการสำคัญ คือ ก้าวข้าม เข้าใจ รู้เท่าทัน และเดินหน้าเศรษฐกิจให้ได้” นายสาธิตกล่าว

ด้าน นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ นายกสมาคม รพ.เอกชน กล่าวถึงการนำเข้ายามารักษาโดยเอกชน ว่า เนื่องจากโควิด-19 ยังเป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรง เพราะฉะนั้น กองทุนประกันสุขภาพภาครัฐต่างๆ ยังต้องรับผิดชอบ ในส่วนของยาโมลนูพิราเวียร์ และแพกซ์โลวิด ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ แต่ผู้ติดเชื้อบางคนต้องการได้ยาเร็ว จึงกำลังหากลไกอยู่ เพราะบางคนกลัว

“ซึ่งประเทศไทยนำเข้ายาราคาต่อคอร์สการรักษาจะสูง เช่น โมลนูพิราเวียร์ 10,000 บาทต่อคอร์สฯ แต่ สปป.ลาวได้รับสิทธิราคา 800 บาทต่อคอร์สฯ ซึ่งต่างกันมาก จึงอยู่ระหว่างการหากลไก ขณะนี้ รพ.เอกชนมียารักษาโควิด-19 คือ ฟาวิพิราเวียร์ และเรมเดซิเวียร์ คอร์สฯละประมาณ 1,500 บาท ส่วนโมลนูพิราเวียร์ แพกซ์โลวิด ในอนาคตกำลังหาเกณฑ์ โดยบริษัทนำเข้ายากำลังพยายามขายให้เอกชน แต่ถ้าเอกชนใช้ลงไปต้องมีเกณฑ์ชัดเจน มิเช่นนั้น อาจจะถูกสังคมตำหนิได้ เพราะยังไม่ใช่โรคประจำถิ่น จึงเป็นสิ่งที่เอกชนระวังอยู่” นพ.เฉลิมกล่าว และว่า อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ที่ดูแลผู้ป่วยจำนวนมาก เพียงแค่ยาฟาวิพิราเวียร์ และเรมเดซิเวียร์ ก็เอาอยู่ แต่ขอให้ไปพบแพทย์เร็ว อย่าช้าจนอาการเข้าข่ายกลุ่มสีเหลืองแล้วลงปอด และบางคนไม่ได้ฉีดวัคซีน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นโรคประจำถิ่น คือ อัตราการฉีดวีคซีนเข็มกระตุ้น (บูสเตอร์โดส)

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image