กรมอนามัย-สปสช.บูรณาการตรวจคัดกรองสายตา-ให้แว่นเด็ก ป.1 ทั่วประเทศ

กรมอนามัย-สปสช.บูรณาการตรวจคัดกรองสายตา-ให้แว่นเด็ก ป.1 ทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2565 นพ.จักรกริช โง้วศิริ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การตรวจคัดกรองสายตาให้กับเด็ก ถือเป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพอยู่แล้ว เพียงแต่การจ่ายชดเชยค่าบริการตรวจคัดกรองสายตาได้จัดรวมอยู่ในงบเหมาจ่ายรายหัว ภาพของการจัดบริการจึงไม่ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ สปสช.โดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงอนุมัติให้ปรับเพิ่มการจ่ายชดเชยค่าแว่นตาเด็กออกมาเป็นการเฉพาะหรือจ่ายตามรายการบริการ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจัดบริการให้เด็กเข้าถึงแว่นตามากขึ้น

“ในสิทธิประโยชน์ของระบบหลักประกันสุขภาพ เด็กที่มีสิทธิคือ เด็กไทยทุกสิทธิ ทั้งบัตรทอง ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการ อายุตั้งแต่ 3-12 ปี ทั้งที่อยู่ในและนอกระบบโรงเรียน มีสิทธิทุกคน เพราะในช่วงวัยนี้ถ้ามีความผิดปกติทางสายตาไม่ว่าจะสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ฯลฯ จะมีปัญหาต่อการเรียนรู้และพัฒนาการที่ล่าช้ากว่าปกติ หรืออาจทำให้เด็กไม่อยากเรียนหนังสือและอาจจะหลุดออกจากระบบการศึกษา เพียงเพราะปัญหาการมองเห็นที่ไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น” นพ.จักรกริชกล่าว

อย่างไรก็ดี รองเลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า แม้โดยหลักการแล้ว เด็กทุกคนควรได้รับการตรวจคัดกรองสายตา แต่ในทางปฏิบัติถ้าจะคัดกรองให้ได้ทุกคนอาจจะเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้ เนื่องจากระบบบริการสาธารณสุขของไทยยังมีจำนวนจักษุแพทย์ไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงมีการจัดระบบที่สามารถปฏิบัติได้จริงด้วยการตรวจคัดกรองเด็กนักเรียนชั้น ป.1 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 7-8 แสนคนทั่วประเทศ

“เหตุที่เลือกตรวจคัดกรองที่ระดับ ป.1 เพราะสื่อสารกันเข้าใจได้มากขึ้น ทำให้ไม่ยากต่อการตรวจคัดกรองสายตา และยังไม่ช้าเกินไปที่จะแก้ไข อย่างไรก็ดี สำหรับเด็กในช่วงอายุอื่น แม้ไม่ได้รับการคัดกรอง แต่หากคุณครูสงสัยว่าสายตาผิดปกติก็สามารถเชิญมาคัดกรองได้เช่นกัน หรือถ้าเด็กเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน หากผู้ปกครองพบความผิดปกติก็พาไปพบจักษุแพทย์ หรือไปโรงพยาบาล (รพ.) อำเภอ เพื่อตรวจคัดกรองสายตาเบื้องต้นได้เหมือนกัน” นพ.จักรกริชกล่าว และว่า โครงการตรวจคัดกรองสายตาและตัดแว่นให้เด็ก ป.1 ทั่วประเทศนี้ สปสช.ไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ ต้องบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานอีกหลายภาคส่วน เช่น ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ในฐานะหน่วยงานวิชาการที่สนับสนุนความรู้ อบรมเตรียมบุคลากร ไม่ว่าจะเป็นจักษุแพทย์ พยาบาล รวมทั้งนักทัศนมาตร กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่มีทั้งหน่วยวิชาการและหน่วยบริการ ได้แก่ กรมอนามัย ที่จะขับเคลื่อนให้เด็กประถมศึกษาทุกคนได้รับการคัดกรอง การสนับสนุนสื่อต่างๆ และกำกับติดตามประเมินผล กรมการแพทย์ ซึ่งมี รพ.เมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทยในการฝึกอบรมการคัดกรอง และให้คำปรึกษาแก่หน่วยบริการ

Advertisement

นพ.จักรกริชกล่าวว่า ในระดับพื้นที่ก็มีคณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ด้านตา ทำหน้าที่บริหารจัดเครือข่ายหน่วยบริการในพื้นที่ว่าใครจะคัดกรองตรงไหน ส่งต่อมาพบจักษุแพทย์ตรงไหน เพื่อให้การดำเนินงานราบรื่น นอกจากนี้ยังมีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในจังหวัด ดำเนินการจัดระบบบูรณาการทั้งครู เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และโรงพยาบาลที่มีจักษุแพทย์ รวมทั้งการอบรมครูและพยาบาล และอีกหน่วยงานที่สำคัญคือ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะเจ้าของพื้นที่ การคัดกรองต้องคัดกรองในโรงเรียน ศธ.ส่วนกลางทำหน้าที่สื่อสารนโยบายให้โรงเรียนทั้งหลายคัดกรองเด็ก สนับสนุนให้ครูและผู้บริหารโรงเรียนจัดระบบให้เด็กได้รับการคัดกรอง และต้องมีครูที่ผ่านการอบรมวัดสายตาทำหน้าที่คัดกรองสายตาเด็ก ถ้าพบเด็กมีความผิดปกติทางสายตาก็จะประสานผู้ปกครองเพื่อนำเด็กส่งต่อให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) คัดกรองซ้ำ

“อีกส่วนคือ กระทรวงมหาดไทย (มท.) มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งมีงบประมาณสนับสนุนให้เด็กเข้าถึงบริการได้ ในอดีตเด็กที่คัดกรองแล้วมักจะมีปัญหาเรื่องการเดินทางไปพบจักษุแพทย์หรือวัดสายตาที่ รพ. ดังนั้น ประเด็นเรื่องภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็จะมีกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับพื้นที่ (กปท.) มาสนับสนุนการเดินทางไปโรงพยาบาล ทั้งหมด 3 ครั้ง เพื่อวัดสายตา รับแว่นตา และอีกครั้งเพื่อติดตามประเมินการใช้แว่นเมื่อครบ 6 เดือน ซึ่งในเรื่องนี้ สปสช.ได้สื่อสารกับ มท.เพื่อขอให้สื่อสารนโยบายและมีการแจ้งลงไปในระดับพื้นที่แล้ว ส่วนหน่วยงานหลักในการให้บริการคือ รพ.ที่มีจักษุแพทย์ซึ่งตอนนี้มีประมาณ 150 แห่ง แต่ใน รพ.ชุมชน ที่ไม่มีจักษุแพทย์ก็จะช่วยทำการคัดกรองซ้ำ เพื่อให้ได้เด็กที่จำเป็นต้องพบจักษุแพทย์จริงๆ แล้วส่งไปพบจักษุแพทย์ที่ รพ.จังหวัด และสุดท้ายคือ สปสช. เขตมีหน้าที่สนับสนุนให้เกิดกระบวนการทั้งหมดนี้และกำกับติดตามว่าพื้นที่ใดเด็กยังไม่ได้รับการคัดกรองและรับแว่นตาบ้าง” นพ.จักรกริชกล่าว

รองเลขาธิการ สปสช.กล่าวว่า หากผู้ปกครองพบว่า เด็กที่เรียนผ่านระบบออนไลน์ที่บ้านมีความผิดปกติ เช่น หยีตา ปวดหัว อ่านหนังสือหรือจ้องหน้าจอใกล้ๆ เดินชนโต๊ะชนเก้าอี้ ขออย่านิ่งนอนใจสามารถพาเด็กไปพบแพทย์ในหน่วยบริการทุกระดับเพื่อรับการตรวจคัดกรองสายตาและรับการแก้ไขปัญหาเสียแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน เด็กอาจเกิดภาวะสายตาขี้เกียจหรือตาบอด ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว

Advertisement

สอบถามเพิ่มเติมการใช้สิทธิบัตรทอง ได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 หรือช่องทางระบบออนไลน์ ทั้งไลน์ สปสช. (ไลน์ไอดี @nhso) หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 และ Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image