ผลวิจัย ตปท.ชี้ประสิทธิภาพวัคซีนเชื้อตาย ป้องกันโควิดในเด็กได้สูงถึง 90% เพิ่มภูมิคุ้มกันกว่า 30 เท่า เมื่อฉีด 3 เข็ม
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค ได้ทำการเผยแพร่ผลการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนเชื้อตายในกลุ่มเด็ก หัวข้อ “ความปลอดภัยและการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนและความทนทานของภูมิคุ้มกันเบื้องต้นในเด็กและวัยรุ่น หลังได้รับวัคซีนโคโรนาแวค (CoronaVac) เข็มที่ 3 โดยได้ทำการศึกษาในกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ 3-17 ปี จำนวน 346 คน ผ่านการวิจัยแบบปกปิดทั้ง 2 ด้าน สุ่มตัวอย่าง และควบคุมด้วยยาหลอก จากการทดลองทางคลินิกระยะที่ 2
ผลการศึกษาพบว่า วัคซีนแสดงผลลัพธ์ที่ปลอดภัยในกลุ่มตัวอย่าง พร้อมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันที่ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับครบ 3 เข็ม โดยติดตามผล 28 วันหลังได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 เว้นระยะห่างจากเข็มที่ 2 เป็นเวลา 10 และ 12 เดือน พบระดับแอนติบอดีป้องกันเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่า
นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่าวัคซีนเชื้อตายก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดทันทีทั่วไปในระดับที่ไม่รุนแรง (ความรุนแรงระดับ 1) และไม่มีรายงานอาการรุนแรงระยะยาวหลังฉีด ในส่วนของภูมิคุ้มกันโรค พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีระดับการสร้างแอนติบอดี (Seroconversion) ต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดิม และสายพันธุ์โอมิครอนอยู่ที่ ร้อยละ 100 และร้อยละ 90 ตามลำดับ โดยแอนติบอดีที่ป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดิมเพิ่มขึ้นจากก่อนได้รับวัคซีนกว่า 30 เท่า
นอกจากนี้ ยังมีผลการวิจัยจาก Chilean Real-World ประเทศชิลี ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการฉีดวัคซีนเชื้อตายในเด็กเช่นกัน โดยผลการศึกษาที่ได้มีความสอดคล้องกับงานวิจัยของซิโนแวค ไบโอเทค ที่พบว่า วัคซีนเชื้อตายมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในเด็กอายุ 6-16 ปี ได้กว่าร้อยละ 74.5 และนอกจากนี้ ยังป้องกันอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อและอาการรุนแรงฉุกเฉินได้ถึงร้อยละ 91 และร้อยละ 93.8 ตามลำดับ
สำหรับประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน พบว่าวัคซีนสามารถป้องกันการเข้ารักษาในโรงพยาบาลและอาการรุนแรงฉุกเฉินในเด็กอายุ 3-5 ปี ได้ร้อยละ 64.6 และร้อยละ 69 ตามลำดับ
แม้ในปัจจุบัน ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 อาจมีแนวโน้มที่ลดลงและไม่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมือนกับช่วงระลอกแรกของการแพร่ระบาด ประกอบกับเชื้อที่มีความรุนแรงน้อยลง แต่สถานการณ์การติดเชื้อในเด็กหลังจากเปิดเทอมยังเป็นสิ่งที่ควรจับตามอง เนื่องจากเด็กที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการเลย ทำให้สามารถสังเกตอาการได้ช้าและกลายเป็นปัจจัยหลักในการแพร่เชื้อได้ ขณะที่สำหรับในกลุ่มเด็กที่มีโรคประจำตัวก็ต้องมีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากอาจเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงจากการติดเชื้อได้
นอกจากนี้ เด็กที่เคยได้รับเชื้อโควิด-19 ไปแล้ว อาจยังมีความเสี่ยงเกิดอาการแทรกซ้อนหลังติดโควิด-19 อย่างเช่น กลุ่มอาการ MIS-C (Multisystem Inflammatory Syndrome in Children) ซึ่งมีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและระบบทางเดินอาหาร และยังมีเรื่องของอาการลองโควิด (Long COVID) ในเด็ก ที่ยังไม่มีข้อสรุปอย่างแน่ชัด การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 จึงสามารถป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดอาการเหล่านี้ได้ นอกจากผู้ปกครองจะต้องคอยเฝ้าระวังและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด การพิจารณาฉีดวัคซีนที่มีความปลอดภัย ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยป้องกันเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดและช่วยให้บุตรหลานสามารถกลับไปเรียนรู้ในห้องเรียนได้อย่างปลอดภัยในระยะยาวอีกด้วย