ผู้ว่าฯชัชชาติ ถอดบทเรียนไหม้กลางกรุง เล็งซ้อมแผนเผชิญเหตุในชุมชน เพิ่มเบี้ยเลี้ยง จนท.(มีคลิป)

ผู้ว่าฯชัชชาติ ถอดบทเรียนไหม้กลางกรุง เล็งซ้อมแผนเผชิญเหตุในชุมชน เพิ่มเบี้ยเลี้ยง จนท.

เมื่อเวลา 12.10 น. วันนี้ (27 มิถุนายน 2565) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะผู้บริหาร กทม. ที่อาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการ กทม.(ดินแดง) ว่าจากการถอดบทเรียนเหตุเพลิงไหม้ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ และตลาดสำเพ็ง สาเหตุของเพลิงไหม้ที่ชุมชนพัฒนาบ่อนไก่ต้นเพลิงมาจากไฟฟ้าชอร์ตที่ชั้นบนของอาคาร และลุกลามไปยังอีกจุดหนึ่งอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ปัญหาคือบ้านเรือนอยู่ติดกัน และเป็นโครงสร้างไม้ ติดไฟง่าย และน้ำประปามีแรงดันน้อย การปฏิบัติงานมีหลายหน่วยงาน ทำให้การบริหารจัดการพื้นที่ทำได้ไม่ดี

นายชัชชาติกล่าวว่า บทเรียนจากเหตุการณ์นี้คือ 1.ประชาชนในชุมชน ซึ่งประชาชนไม่ได้แจ้งเหตุไปยังสถานีดับเพลิงโดยตรง แต่ไปแจ้งที่อาสาสมัครชุมชน ทำให้เสียเวลาไปประมาณ 5 นาที ก่อนที่ดับเพลิงจะได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการ โดยไม่ได้นำถังแดงไปดับเพลิงในตอนแรก

Advertisement

“ในส่วนนี้เราสามารถฝึกให้ชุมชนช่วยเหลือตัวเองได้ อาจทำให้การดับเพลิงทำได้เร็วมากขึ้น” นายชัชชาติกล่าว และว่า 2.สายไฟฟ้าในชุมชนชำรุด ขาดการบำรุงรักษา ทำให้เกิดไฟชอร์ต อีกทั้งชุมชนยังเกิดความสับสน ไม่รู้จะอพยพไปที่ใด ดังนั้น การฝึกซ้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ จริงๆ แล้วชุมชนมีหัวดับเพลิงแดงเพียงพอ มีหลายจุด แต่ในเบื้องต้นอาจมีเรื่องแรงดันน้ำที่อาจจะไม่เพียงพอ

ผู้ว่าฯกทม.กล่าวว่า และ 3.ปัญหาด้านผู้ปฏิบัติงาน ยังต้องมีการปรับปรุง เนื่องจากไม่มีผู้บัญชาการเหตุการณ์ ผู้ที่ลงพื้นที่ในชุมชนไม่มีความคุ้นเคยในชุมชน ดังนั้น ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) ผู้อำนวยการเขต และอาสาสมัคร ต้องซักซ้อมการปฏิบัติงานให้ดีขึ้น มีการทำบัญชีผู้เสียหาย การจัดบริการเบื้องต้น ได้แก่ ห้องสุขา ติดตั้งปั๊มน้ำให้น้ำพอใช้ เตียงกระดาษ ตั้งคลังอุปกรณ์ฉุกเฉิน ซึ่งจะช่วยผู้ประสบเหตุได้เร็วขึ้น ไม่ต้องรอการรับบริจาค นอกจากนี้ ยังต้องแยกผู้ประสบภัยให้ชัดเจน

Advertisement

นายชัชชาติกล่าวว่า ส่วนกรณีที่สำเพ็ง สาเหตุต้นเพลิงคือ 1.หม้อแปลงที่มีควัน 2.สายสื่อสารติดไฟ และ 3.ตัวอาคารมีเชื้อเพลิง เช่น พลาสติกมาก เลยทำไฟลุกลามเร็วขึ้น เบื้องต้นได้ประสานการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) สำรวจหม้อแปลงทั้งหมด 400 กว่าลูก เฉพาะจุดเสี่ยงในกรุงเทพมหานครชั้นใน

“และประชาชนหากมีข้อกังวลให้แจ้งเข้ามาที่ กทม. หรือทราฟฟี่ ฟองดูว์ เราจะได้ดำเนินการตรวจสอบให้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ส่วนการจัดระเบียบสายสื่อสารจะหารือกับ กสทช. เพื่อหารือเรื่องนี้ให้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม เจ้าของอาคารที่มีวัสดุที่มีเชื้อเพลิงมากต้องระวังเรื่องอัคคีภัยให้มากขึ้น โดยเจ้าของอาคารต้องตรวจสอบดูแลในส่วนของตัวเองด้วย ส่วนการเข้าเผชิญเหตุ ตามหลักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยควรไปฉีดที่ต้นเพลิงมากกว่าการกระหน่ำฉีดเข้าไป ต่อจากนี้จะให้มีการอบรม จัดระเบียบให้ทุกทีมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และต้องเรียนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีหลายหน่วยงานที่เข้ามาช่วย จึงให้ทางผู้อำนวยการ สปภ.ทำแผนระยะสั้น กลาง ยาว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด” นายชัชชาติกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการพิจารณาค่าตอบแทน เบี้ยเลี้ยง ค่าเสี่ยงภัยแก่อาสาสมัคร จัดสรรอุปกรณ์ที่เหมาะสมในงานด้านบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงทบทวนการเพิ่มเบี้ยงเสี่ยงภัย ซึ่งก่อนหน้านี้มีการเสนอให้เพิ่มจาก 5,000 บาท เป็น 7,000 บาท นายชัชชาติกล่าวว่า มีการร่างแผนไว้แล้ว ค่าตอบแทนเราก็ต้องพิจารณาเช่นกัน รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ต้องมีอย่างเหมาะสม

เมื่อถามต่อถึงความเหมาะสมหรือความปลอดภัยของเด็กที่มาเป็นอาสาสมัคร นายชัชชาติกล่าวว่า ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของเด็ก โดยเอาตัวอย่างการทำงานบรรเทาสาธารณภัยของประเทศเกาหลีมาเป็นต้นแบบในการทำงานของเราด้วย

ด้าน น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ได้มีการให้สำรวจข้อมูลทั้งหมด ในส่วนของพื้นที่หนาแน่น ที่เหมือนกับชุมชนบ่อนไก่ ให้มีการระบุจุดเสี่ยง และสรุปผลเหตุเพลิงไหม้แต่ละจุดเกิดซ้ำที่จุดไหนบ้าง ทั้งนี้ ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุไฟฟ้าลัดวงจร เพลิงไหม้ ทุกวัน

“เพราะฉะนั้น เราทราบอยู่แล้วว่ามันเกิดซ้ำที่ไหนบ้าง และการเข้าถึงชุมชนที่ไหนยากบ้าง จึงต้องสนับสนุนอุปกรณ์ระงับเหตุเบื้องต้น รวมทั้งการทำแผนเผชิญเหตุ” น.ส.ทวิดากล่าว

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image