แผนจัดสรรงบกองทุนหลักประกันสุขภาพ ปี’66 ขยายสิทธิประโยชน์ใหม่ รุกพัฒนาระบบบริการ

ด้วยคะแนนที่สูงถึงร้อยละ 97.07 จากผลสำรวจความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทองŽ ในปี 2564 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อให้งบประมาณจากภาษีประชาชนถูกใช้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดโดยคืนสู่ประชาชนเอง ตลอดระยะเวลา 19 ปี ของกองทุนบัตรทองได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องทุกๆ ด้าน และในปีงบประมาณ 2566 ที่จะมาถึงนี้ นับเป็นอีกปีหนึ่งของการก้าวย่างเพื่อขยายความครอบคลุมและทั่วถึง รองรับต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงเพื่อดูแลคนไทยทุกคน

จากวงเงิน จำนวน 204,140.02 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2566 ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาลมานี้ขึ้นจากปีงบประมาณ 2565 จำนวน 5,248.24 ล้านบาท ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูลŽ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุภาพแห่งชาติ เป็นประธาน เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้อนุมัติหลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำหรับผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2566 แล้ว

ทั้งนี้ ได้จัดสรรงบประมาณเป็น 10 รายการ ประกอบด้วย 1.บริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว 161,602.67 ล้านบาท บริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ 3,978.48 ล้านบาท 3.บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 9,952.17 ล้านบาท บริการควบคุมป้องกันและรักษาโรคเรื้อรัง 1,071.48 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ 1,490.29 ล้านบาท ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน 1,265.65 ล้านบาท ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิ 188.85 ล้านบาท ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 2,772 ล้านบาท เงินช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการและผู้ให้บริการ 437.37 ล้านบาท และค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค 21,381.11 ล้านบาท

Advertisement

สำหรับในส่วนของงบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว 161,602.67 ล้านบาทนี้ หรือเฉลี่ย 3,385.98 บาท/ประชากรผู้มีสิทธิ ได้จัดสรรเป็นงบบริการผู้ป่วยนอก 1,344.40 บาท ผู้ป่วยใน 1,477.01 บาท บริการกรณีเฉพาะ 399.49 บาท บริการฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการแพทย์ 17.23 บาท บริการการแพทย์แผนไทย 19.16 บาท และค่าบริการทางการแพทย์ที่เบิกจ่ายในลักษณะงบลงทุน 128.69 บาท

ภายใต้การจัดสรรงบประมาณนี้มีการเพิ่มเติมบริการใหม่ อาทิ การดูแลภาวะความดันเลือดในปอดสูงในทารกแรกเกิด (Persistent Pulmonary Hypertension of the Newborn), บริการทันตกรรม Vital Pulp Therapy, บริการรากฟันเทียม, บริการห้องฉุกเฉินคุณภาพภาครัฐ,
ผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับ, บริการยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี, เพิ่มยา จ.2 จำนวน 14 รายการ, บริการดูแลผู้ป่วยกึ่งเฉียบพลัน, บริการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับพิษ และขยายบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค

Advertisement

พร้อมกันนี้ สปสช.ได้ดำเนินการปรับการบริหารจัดการที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการ ได้แก่ บริการโรคโควิด-19 จากเดิมที่แยกการบริการจัดการโดยใช้งบประมาณพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินฯ ที่ปรับให้อยู่ในงบบัตรทองที่ครอบคลุมทั้งบริการโควิด-19 ผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน
การป้องกันและการช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีฉีดวัคซีนโควิด-19, การเดินหน้ายกระดับบัตรทองอย่างต่อเนื่อง, เพิ่มการเข้าถึงยา ทั้งยารักษามะเร็ง และยาที่มีส่วนผสมของกัญชา (บัญชียาหลักแห่งชาติ), เพิ่มการเข้าถึงบริการเบาหวานชนิดที่ 2 และความดันโลหิตสูงโดยปรับการจ่ายตามรายการบริการ, เพิ่มสัดส่วนสมทบกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพในระดับจังหวัดตามความพร้อมแต่ละพื้นที่ และเพิ่มบริการผ่าตัดข้อเข่าและผ่าตัดต้อกระจกที่เปิดให้มีการปรับเป้าหมายตามบริบทพื้นที่เช่นกัน

นอกจากนี้ ในส่วนบริการดูแลระยะยาวสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงนั้น ได้มีการปรับการจ่ายที่เป็นไปตามแผนการดูแลแต่ละบุคคล (Care plan) พร้อมตัดรอบการจ่ายทุก 15 วัน, ปรับบริการไตวายเรื้อรังที่ให้ดูแลโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง พร้อมกับเพิ่มทางเลือกจ่ายชดเชยเป็นเงินสำหรับน้ำยาล้างไตและยาเพิ่มเม็ดเลือดแดง (EPO) เป็นต้น

ขณะที่ในส่วนของหน่วยบริการ สปสช.ได้ดำเนินการพัฒนาประสิทธิภาพของระบบที่ช่วยสนับสนุนการบริการและเพิ่มความสะดวกผู้ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นการบูรณาการระบบข้อมูลบริการสาธารณสุขของ สธ.เพื่อคืนข้อมูลให้กับหน่วยบริการและประชาชน การจัดทำระบบเชื่อมข้อมูลบริการเพื่อลดภาระการส่งข้อมูลของหน่วยบริการ การเพิ่มประสิทธิภาพตรวจสอบการจ่าย ได้แก่ การพิสูจน์ตัวตน ระบบตรวจก่อนจ่าย การใช้ระบบตรวจสอบ AI Audit และเน้นการจ่ายตามผลงานบริการในทุกรายการ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำกลไกทบทวนอัตราจ่ายตามรายการบริการ โดยมีคณะทำงานทบทวน การปรับระบบขยายบริการข้ามเขตและการจัดทำระบบเชื่อมโยงการบริการมากกว่า 1 หน่วยบริการ อย่างกรณี นวัตกรรมย่านโยธี เป็นต้น

สำคัญที่สุด ในปี 2566 นี้ คือการเพิ่มบทบาทคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขต (อปสข.) ร่วมให้คำแนะนำ ความเห็นต่อหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าบริการเพื่อให้เป็นไปตามบริบท และให้เกิดการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม

การบริหารจัดการงบประมาณบัตรทองที่ปรากฏนี้ไม่ได้มาจากผลการดำเนินงานของ สปสช.เท่านั้น แต่เกิดจากความร่วมมือของทุกๆ ฝ่ายที่ได้ร่วมกันจัดทำข้อเสนอ ที่ได้ร่วมกันสะท้อนความคิดเห็น จากการเปิดกว้างการมีส่วนร่วมทั้งในระดับส่วนกลางและพื้นที่ จนทำให้งบประมาณบัตรทองในแต่ละปีรวมถึงในปีนี้เกิดการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพให้กับประชาชน สู่ความเป็น ”เจ้าของระบบŽ” ร่วมกัน

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image