สปสช.เผยรับจัดสรรยาโควิดเพิ่มแล้ว จ่อถกกรมการแพทย์ปรับเกณฑ์จ่ายโมลนูพิราเวียร์กลุ่ม 608
วันที่ 1 สิงหาคม 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารีย์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สายด่วน 1330 จัดส่งยารักษาโควิด-19 ให้ผู้ติดเชื้อล่าช้าว่า ล่าสุด ระบบ 1330 ได้ปรับการบริการผู้ป่วยโควิด-19 ใหม่ ซึ่งพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความต้องการเข้าถึงยาผ่านทางการโทรศัพท์มากกว่าการเดินทางออกไปรับยาเอง ทาง 1330 จึงให้บริการส่งยาไปถึงบ้านให้กับผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เป็นการให้บริการในผู้ที่มีสิทธิบัตรทองในเขตกรุงเทพมหานคร และ 4 จังหวัดปริมณฑลเท่านั้น แต่ก็รับประสานงานต่อให้กับผู้ติดเชื้อที่อยู่ในสิทธิสุขภาพอื่นๆ ด้วย
นพ.จเด็จกล่าวว่า ในระยะแรก สปสช.มียาไม่เพียงพอ ต้องขอรับการจัดสรรเพิ่มเติม โดย สธ.ได้จัดสรรยาล็อตใหม่มาแล้วหลายแสนเม็ด ซึ่งมีสัดส่วนของยาโมลนูพิราเวียร์มากกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ ดังนั้น สปสช.กำลังหารือร่วมกับกรมการแพทย์ว่า จะมีการปรับเกณฑ์การสั่งจ่ายยาให้กับผู้ป่วยโควิด-19 ในกลุ่ม 608 หรือไม่ จากเดิมที่ระบุว่า หากเป็นผู้ป่วยที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอีก 1 ปัจจัย เช่น มีโรคประจำตัว จึงจะพิจารณาให้ยาโมลนูพิราเวียร์ แต่ถ้าไม่มีปัจจัยเสี่ยงร่วม ก็จะให้เพียงยาฟาวิพิราเวียร์เท่านั้น
“ตอนนี้เรายังให้ยาฟาวิพิราเวียร์ แต่ด้วยสัดส่วนที่มีโมลนูพิราเวียร์มากขึ้น ก็ต้องหารือกับกรมการแพทย์ว่าจะให้ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นเฟิร์สไลน์ (first line) หรือไม่ แต่ตอนนี้ยังจ่ายเป็นยาฟาวิฯ ตามแนวทางของกรมการแพทย์ และยืนยันว่าเราดำเนินการตามแนวทางของกรมการแพทย์แน่นอน” นพ.จเด็จกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ฉบับปรับปรุงใหม่ ครั้งที่ 24 วันที่ 11 กรกฎาคม 2565 โดยความร่วมมือของคณาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่างๆ และผู้แทนทีมแพทย์ที่ปฏิบัติหน้างานในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้ทบทวนและปรับแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยตามข้อมูลวิชาการในประเทศและต่างประเทศ
การรักษาผู้ติดโควิด-19 แบ่งเป็น กลุ่มตามความรุนแรงของโรคและปัจจัยเสี่ยงได้ 4 กรณี ดังนี้
1.ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือสบายดี ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยแยกกักตัวที่บ้านแบบ ให้ดูแลรักษาตามอาการตามดุลพินิจของแพทย์ ไม่ให้ยาต้ายไวรัส เช่น ฟาวิพิราเวียร์ เนื่องจากส่วนมากหายได้เอง อาจพิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจรตามดุลพินิจของแพทย์
2.ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง/โรคร่วมสำคัญและภาพถ่ายรังสีปอดปกติ อาจพิจารณาให้ฟาวิพิราเวียร์ ควรเริ่มยาโดยเร็ว หากตรวจพบเชื้อเมื่อผู้ป่วยมีอาการมาแล้วเกิน 5 วัน และผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยอาจไม่จำเป็นต้องให้ยาต้านไวรัส เพราะผู้ป่วยจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
3.ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรงหรือมีโรคร่วมสำคัญ หรือผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง แต่มีปอดอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลางยังไม่ต้องให้ออกซิเจน แนะนำให้ยาต้านไวรัสเพียง 1 ชนิด โดยควรเริ่มภายใน 5 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการจึงจะได้ผลดี โดยหากไม่มีปัจจัยเสี่ยงให้ยาฟาวิพิราเวียร์ หากมีปัจจัยเสี่ยง 1 ข้อ โดยมีลำดับการให้ยา คือ โมลนูพิราเวียร์, เรมเดซิเวียร์, เนอร์มาเทรลเวียร์/ริโทนาเวียร์ (แพกซ์โลวิด) และฟาวิพิราเวียร์ หากมีปัจจัยเสี่ยง 2 ข้อขึ้นไป ให้เรมเดซิเวียร์ หรือเนอร์มาเทรลเวียร์/ริโทนาเวียร์ (แพกซ์โลวิด) หรือโมลนูพิราเวียร์
ทั้งนี้ การจัดลำดับการให้ยา พิจารณาจากปริมาณยาที่มีในประเทศ ประสิทธิภาพของยาในการลดอัตราการป่วยหนักและอัตราตาย ความสะดวกในการบริหารยา และราคายา ซึ่งข้อมูลปัจจุบัน เนอร์มาเทรลเวียร์/ริโทนาเวียร์มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่มีราคาสูงที่สุด ส่วนฟาวิพิราเวียร์ไม่ช่วยลดอัตราการป่วยหนัก แต่ช่วยลดอาการได้ หากได้รับยาเร็วตั้งแต่วันแรกที่มีอาการในกลุ่มที่ไม่มีความเสี่ยง ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคที่รุนแรง ได้แก่ อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง รวมโรคปอดเรื้อรังอื่นๆ โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมโรคหัวใจแต่กำเนิด โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ภาวะอ้วน ตับแข็ง ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และผู้ติดเชื้อเอชไอวี
และ 4.ผู้ป่วยยืนยันที่มีปอดอักเสบ ปอดอักเสบรุนแรง ไม่เกิน 10 วัน หลังจากมีอาการและได้รับออกซิเจน แนะนำให้เรมเดซิเวียร์โดยเร็วที่สุด เป็นเวลา 5-10 วัน ขึ้นกับอาการทางคลินิก ควรติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ร่วมกับให้ยาคอร์ดิโคสเตียรอยด์ (corticosteroid)