ไทยพบ รีบาวด์โควิด แล้ว 3 คน กินโมลนูพิราเวียร์ครบคอร์ส แต่เชื้อโผล่ซ้ำไม่ถึง 2 สัปดาห์

ไทยพบ รีบาวด์โควิด แล้ว 3 คน กินโมลนูพิราเวียร์ครบคอร์ส แต่เชื้อโผล่ซ้ำไม่ถึง 2 สัปดาห์

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ที่สถาบันประสาทวิทยา ถึงการใช้ยาต้านไวรัสรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในกรณีที่ผู้ป่วยอาการน้อยแต่อยากได้รับยาต้านไวรัส ว่า การใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ในขณะนี้ เป็นการจัดซื้อโดยกรมการแพทย์ และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ซึ่งซื้อจากบริษัทแม่กับบริษัทที่ได้ลิขสิทธิ์ผลิตในประเทศอินเดีย ขณะนี้ราคาต่ำกว่ายาฟาวิพิราเวียร์

“ยืนยันว่า ยาไม่ขาด มีการกระจายไปให้ทุกแห่ง ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้สั่งจ่ายยาให้ ทั้งนี้ กรมการแพทย์พยายามเตือนมาตลอด ทั้งยาโมลนูพิราเวียร์ และแพกซ์โลวิด เพิ่งใช้มาไม่นานไม่ถึงปี ยังไม่ได้ติดตามผลกระทบ ตามที่เกิดอาการรีบาวด์ (Rebound) แบบในต่างประเทศ ซึ่งผมก็ได้พูดคุยกับผู้ป่วยโควิด-19 ในประเทศไทย ที่พบรีบาวด์เช่นกัน มีประมาณ 2-3 ราย เป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ ปรากฏว่า 2 สัปดาห์ กลับมาตรวจเชื้อมีผลบวกใหม่ ซึ่งบอกได้ยากว่าเกิดจากรีบาวด์หรือติดเชื้อซ้ำ เป็นเหตุผลว่า ไม่อยากให้ซื้อยามาใช้เอง เพราะอาจเจอ 1.ยาปลอม 2.ยาบางตัวมีผลกับยารักษาโรคอื่นๆ อาจเกิดปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงยารักษา ยืนยันว่า หากตรวจพบเชื้อมีผลบวก สามารถติดต่อระบบสแกนแจกจบ เพื่อรับยา โดยกรมการแพทย์จะมี 3 แห่ง คือ โรงพยาบาล (รพ.) ราชวิถี รพ.นพรัตนราชธานี และ รพ.เลิดสิน ให้กรอก ชื่อ ผลตรวจ อาการ ที่อยู่ เบอร์โทรและโรคร่วม เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับใน 1 ชั่วโมง เพื่อคอนเฟิร์มจะได้รับยาหรือไม่ต้องรับ ซึ่งขณะนี้ทราบว่า ทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) เองก็มีระบบสแกนแจกจบเช่นกัน เรารู้จักโควิด-19 ยังไม่หมด ไม่รู้ว่าจะกลายพันธุ์อีกหรือไม่ แต่หวังว่าจะไม่กลายพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลจาก สธ.เป็นหลัก ของกรมการแพทย์ก็ได้เผยแพร่ข้อมูลการเข้าถึงระบบรักษาให้ประชาชนรับทราบ” นพ.สมศักดิ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า รีบาวด์ในไทยเกิดขึ้นกี่ราย และจะแยกอย่างไรว่า เป็นรีบาวด์หรือการติดเชื้อใหม่ นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า เบื้องต้นพบ 2-3 ราย แต่ไม่มีข้อมูลเชิงลึกทั้งหมด ทั้งนี้ หลักการคือ หากเกิดรีบาวด์ต้องดูว่ามีอาการอะไรบ้าง เพราะหากไม่มีอาการอะไร ก็อาจเป็นซากเชื้อได้ เหมาะที่สุดคือ การทำ RT-PCR ที่จะมีค่า Ct บอกได้ว่า เชื้อมีปริมาณเท่าไร เป็นการติดเชื้อใหม่หรือไม่ หรือการนำเชื้อไปเพาะ แต่ราคาค่าใช้จ่ายจะค่อนข้างสูง แต่กรณีที่ตรวจ RT-PCR แล้วมีค่า Ct ต่ำราว 28-30 ก็อาจต้องเริ่มให้ยาได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้ป่วยและโรคประจำตัว

“รีบาวด์หลักๆ คือ อาการลงไปแล้ว แต่กลับขึ้นมาใหม่ ซึ่งบอกไม่ได้ บางราย 5-10 วัน เป็นลบ แล้ววันที่ 10-14 กลับมาบวก แต่รายที่เจอเอง 2-3 ราย รายแรกอายุ 60 กว่าปี มีอาการโรคประจำตัว จ่ายโมลนูพิราเวียร์ไปแล้ว 2 สัปดาห์ กลับมาบวก อีกรายอายุเกิน 70 ปี เดินทางมาจากต่างประเทศและได้รับยา ผลเป็นลบแล้วแต่อีก 14 วัน กลับมาบวกโดยไม่มีอาการ และอีกรายอายุ 60 กว่าปี มีโรคเบาหวานหรือความดัน ได้รับยา แล้ววันที่ 13-14 ไปตรวจเชื้อกลับมาบวกอีก แต่อาการไอเล็กน้อย จึงแนะนำว่า ไม่ต้องทำอะไร อาการไม่ได้มากขึ้นและได้รับยาครบไปแล้ว ฉะนั้น เรื่องเหล่านี้ยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่พอ เพราะอาจเกิดจากการปนเปื้อนระหว่างเก็บเชื้อก็ได้” นพ.สมศักดิ์กล่าว

นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า สำหรับการจ่ายยาโมลนูพิราเวียร์ ให้กับผู้ป่วยโควิด-19 ขณะนี้มีการปรับแนวทางล่าสุด ฉบับที่ 24 โดยหากเป็นกลุ่มเสี่ยง 608 แล้วมีอาการป่วย ก็สามารถพิจารณาจ่ายยาได้เลย ซึ่งเราได้คุยกับ สปสช.เป็นระยะเพื่อสื่อสารแนวทางดังกล่าว

ADVERTISMENT