อนุทิน เผยมาเลย์เดินหน้ากัญชาการแพทย์ ขอถอดบทเรียนจากไทยไปปรับใช้
วันที่ 15 สิงหาคม 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมหารือกับ H.E.Dato Jojie Sarnuel เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย ที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเตรียมการสำหรับการเยือนประเทศไทยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประเทศมาเลเซีย ที่จะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุข APEC ว่า ก่อนหน้านี้ระหว่างการประชุมใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้มีการหารือระดับทวิภาคี โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประเทศมาเลเซีย ได้แจ้งว่า อยากมาศึกษาว่า สธ.ไทยมีการบริหารจัดการนโยบายกัญชาทางการแพทย์อย่างไร เนื่องจาก สธ.มาเลเซีย กำลังพิจารณาดำเนินการเรื่องการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากกระท่อมด้วย และมีการตั้งเป็นเป้าหมายว่า นำพืชสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
นายอนุทินกล่าวว่า ทั้งนี้ สธ.ไทยวางแผนและเตรียมการจะนำรัฐมนตรี สธ.มาเลเซียเข้าเยี่ยมชมอุตสาหกรรมกัญชา การปลูกกัญชาให้ได้คุณภาพช่อดอกที่ดีในการนำมาทำสารสกัดเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และจะมีการหารือเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ว่า เมื่อดำเนินการนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์นั้น ประเทศไทยพบปัญหาอุปสรรคอย่างไรบ้าง เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งประเทศมาเลเซียกำลังอยู่ในระหว่างการร่างกฎหมายกัญชาเช่นกัน
“ถ้าประเทศไทยและมาเลเซียร่วมกันสนับสนุนให้พืชกัญชาสามารถใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้มากที่สุด เท่ากับมีประเทศเพื่อนบ้านที่มีกฎหมายยาเสพติดแรงกว่าไทยมาก ยังเชื่อว่า ถ้านำไปใช้ในทางที่ถูก นำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ น่าจะเกิดประโยชน์กับประเทศ ตรงกับเจตนารมณ์ของประเทศไทย และไม่สนับสนุนเรื่องการใช้ในทางสันทนาการ สูบ เสพ ไม่ได้ สิ่งที่ห้ามก็จะเป็นแนวเดียวกับประเทศไทย ก็คงมาขอดูด้วยว่าไทยมีข้อจำกัดตรงไหนที่ไทยไม่ให้ใช้ เพราะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ” นายอนุทินกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเทศไทยมีการถอดบทเรียนถึงปัญหา อุปสรรคในการดำเนินนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์อย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า การนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ ไปสูบเสพไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง พ.ศ. … นั้น คณะกรรมาธิการจะพิจารณาสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้าย ก่อนนำเสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎร ก่อนส่งเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา หากไม่มีอะไรก็ตั้งเป้าให้เสร็จโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ สธ.มีประกาศที่นำมาใช้ในการป้องกันการใช้ในทางที่ผิดทั้งประกาศกรมอนามัยเรื่องกลิ่นควันกัญชาเป็นเหตุรำคาญ และประกาศเรื่องสมุนไพรควบคุม
เมื่อถามต่อว่า ปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติดมา 2 เดือน สธ.มีการเฝ้าระวังผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า รายงานผู้ที่เข้าถึงกัญชาแล้วต้องไปรับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล (รพ.) ของรัฐ จำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
“แสดงว่า คนเริ่มเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และหันไปใช้ในทางที่ถูกมากขึ้น จากนี้ไปแพทย์ก็กล้าที่จะสั่งใช้ยากัญชากับผู้ป่วยที่สมควรได้รับไม่ต้องหลบซ่อนเหมือนเมื่อก่อน ผู้ใช้ยากัญชาก็ไม่ต้องถูกตรวจค้น หรือดำเนินคดี ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย แพทย์ทางเลือกก็สามารถใช้กัญชามารักษาผู้ป่วยได้ตามหลักวิชาชีพ วิชาการ จึงมีจำนวนผู้เดือดร้อนจากการใช้กัญชาทางการแพทย์ลดลงมาก ส่วนผู้ที่สูบเสพกัญชาในทางที่ไม่ถูกต้อง สูบในพื้นที่สาธารณะ เย้ยกฎหมาย ท้าทายกฎหมาย มีสิทธิถูกดำเนินคดีถ้าก่อให้เกิดความรำคาญ” นายอนุทินกล่าว
ด้าน นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า การร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ช่อดอกกัญชา เป็นสมุนไพรควบคุม ซึ่งจะกำหนดว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ แต่ไม่ได้นำกลับเข้าเป็นยาเสพติดอีกเพราะปลดล็อกแล้ว
“การควบคุมน่าจะได้ประมาณร้อยละ 70-80 เพื่อรอร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชงฯ มีผลบังคับใช้ ทั้งนี้ ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ที่มีปลัด สธ.เป็นประธาน หากที่ประชุมเห็นชอบก็จะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการ สธ.ลงนามต่อไป ส่วนเรื่องของอำนาจในการจับกุมต่างๆ ยังกำหนดให้เจ้าพนักงานตามกฎหมาย ซึ่งในต่างจังหวัดคือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) คือ ผู้ได้รับมอบอำนาจ ส่วนในกรุงเทพมหานคร ก็เป็นระดับอธิบดี เป็นผู้ชี้เป้าหมายว่า แบบใดคือการกระทำผิด แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปดำเนินการต่อ เพราะเรื่องนี้ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ” นพ.ยงยศกล่าว
อนึ่ง จากฐานข้อมูล การบำบัดรักษายาเสพติดทั่วประเทศของ สธ.ข้อมูล ปี 2565 ณ วันที่ 10 กรกฎาคม 2565 ในส่วนของผู้ป่วยกัญชา ปี 2561 จำนวน 13,838 ราย ปี 2562 จำนวน 18,180 ราย ปี 2563 จำนวน 10,766 ราย ปี 2564 จำนวน 7,609 ราย และปี 2565 จำนวน 3,364 ราย