คิกออฟ! ฉีดวัคซีนโควิดเด็ก 6 เดือน ไทยชาติแรกในอาเซียน อนุทิน เผยตั้งงบซื้อรุ่น 2 แล้ว
วันนี้ (12 ตุลาคม 2565) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานเปิดกิจกรรม “เสริมภูมิปฐมวัย ปกป้องภัยโควิด-19” โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้บริหาร สธ. เข้าร่วมที่โรงพยาบาล (รพ.) พระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี โดยวันนี้เป็นวันแรกที่ สธ.ให้สถานพยาบาลทั่วประเทศเริ่มโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไฟเซอร์ฝาสีแดงเข้ม สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 4 ปี ตามความสมัครใจของผู้ปกครอง ซึ่งที่ รพ.พระนั่งเกล้า มีเด็กเข้ารับวัคซีนเพียง 8 คน จากการลงทะเบียนไว้ 1,000 คนแรก
นายอนุทิน กล่าวว่า สธ.จัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาให้บริการแก่คนไทยตั้งแต่ปี 2564 ขณะนี้มีความครอบคลุมมากกว่าร้อยละ 82 ทำให้สามารถควบคุมโรคโควิด-19 จนประเทศไทยสามารถปรับลดเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังได้
“เหลือกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งพบว่ามีอัตราป่วยมากกว่าเด็กโตมากถึง 1.5 เท่า และเสียชีวิตมากกว่าเด็กโต 3 เท่า ดังนั้น เมื่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อนุมัติใช้วัคซีนไฟเซอร์ฝาสีแดงเข้ม นับตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2565 ไทยจึงเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่จัดหาและนำเข้ามาฉีดให้แก่เด็กกลุ่มนี้ เบื้องต้นจำนวน 3 ล้านโดส โดยจะทยอยเข้ามาจนครบในสิ้นปีนี้ เบื้องต้นเข้ามาแล้ว 5 แสนโดส กระจายส่งถึงทุกจังหวัดแล้ว เริ่มให้บริการวันนี้เป็นวันแรก จึงขอให้บุคลากรทางการแพทย์และการสาธารณสุขได้ร่วมกันรณรงค์ฉีดวัคซีนให้เด็กเล็กให้มากที่สุด” นายอนุทิน กล่าว
รัฐมนตรีว่าการ สธ.กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลได้มีแผนจัดสรรงบประมาณจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 รุ่นใหม่ ให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงแล้ว
“เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 4 ปี ยังเล็กเกินไปที่จะรู้จักป้องกันตนเอง และเมื่อป่วยจะบอกอาการไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเปราะบาง หากติดเชื้ออาจมีอาการรุนแรง จึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องได้รับภูมิคุ้มกันจากวัคซีน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงและลดการแพร่เชื้อในครอบครัวได้ ยืนยันว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐาน และมีความปลอดภัย อาการข้างเคียงอาจเกิดขึ้นได้ แต่ไม่อันตราย พ่อแม่ ผู้ปกครอง สามารถลงทะเบียนหรือพาบุตรหลานเข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ตามความสมัครใจ” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีผู้ปกครองแจ้งความจำนงไว้ 3 แสนราย แต่ก็ไม่ได้ตั้งเป็นเป้าหมายว่าต้องฉีดเท่าไร ซึ่งผู้ปกครองสามารถติดต่อขอรับวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลรัฐใกล้บ้าน ส่วนในโรงพยาบาล (รพ.) เอกชน อยู่ระหว่างประสานงานกัน ดังนั้น ขอรณรงค์ให้ผู้ปกครองพาลูกหลานมารับวัคซีน
“สำหรับค่าใช้จ่ายเรื่องวัคซีน รัฐบาลยังดูแลในทุกเรื่อง เพราะยังขึ้นทะเบียนใช้ในสถานะฉุกเฉิน ขณะที่ ประชาชนที่ฉีด 2 เข็ม แต่ยังไม่ได้รับเข็มที่ 3 นานเกิน 3 เดือน ก็แทบจะไม่มีภูมิคุ้มกันเหลืออยู่ ดังนั้น ต้องไปรับเข็มที่ 3 โดยเร็ว เช่นเดียวกับคนที่รับเข็มที่ 3 นานเกิน 3 เดือน ก็ให้ไปรับเข็มที่ 4 เพราะข้อมูลยืนยันว่า หากรับ 4 เข็ม จะไม่ป่วยหนัก ไม่เสียชีวิต สำหรับคนที่รับเข็มที่ 4 เกิน 4 เดือนแล้ว รู้สึกว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อ เช่น เดินทางด้วยรถสาธารณะ ทำงานที่ต้องเจอผู้คน ก็ให้ไปรับเข็มที่ 5 ในวันนี้ ใครจะฉีดถึง 6 เข็ม ก็สามารถทำได้ แต่เข็มที่ 7 ยังขอให้ทิ้งระยะไว้ก่อน” นายอนุทิน กล่าว
ด้าน นพ.โอภาส กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 พบเด็กบางรายที่มีภาวะอักเสบทั่วร่างกาย หรือ มิสซี (MIS-C) จากการติดเชื้อ แต่จากการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับกลุ่มคนตั้งแต่ช่วงอายุ 5-12 ปี ทำให้เด็กไทยได้รับการปกป้อง ลดอาการเจ็บป่วยรุนแรงได้มาก ขณะนี้มีความพร้อมให้บริการวัคซีนเด็ก 6 เดือน ถึง 4 ปี มีการประชุมอบรมแนวทางการให้บริการวัคซีนแก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทั่วประเทศแล้ว
“วัคซีนเด็กเล็ก มีขนาด 3 ไมโครกรัม ปริมาณ 0.2 มิลลิลิตร ฉีดจำนวน 3 เข็ม ระยะห่างเข็ม 1 ห่างจากเข็ม 2 ที่ 4 สัปดาห์ และเข็ม 3 ห่างอีก 8 สัปดาห์ สามารถให้พร้อมกับวัคซีนชนิดอื่นได้ในวันเดียวกัน หรือห่างกันเท่าใดก็ได้” นพ.โอภาส กล่าว
ขณะที่ นพ.ธเรศ กล่าวว่า กรมควบคุมโรคได้ดำเนินการจัดส่งวัคซีน จำนวน 5 แสนโดสแรก ไปถึง รพ.ในจังหวัดต่างๆ เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยพื้นที่สามารถจัดให้บริการได้ทันที และหากพื้นที่ใด ประชาชนมีความต้องการวัคซีนเพิ่มเติม ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สามารถประสานขอสนับสนุนเพิ่มเติมไปยังกรมควบคุมโรคได้ และผู้ปกครองสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค
ด้าน น.ส.นัฐตพร เมืองกลาง ผู้ปกครองที่นำบุตรหลานไปฉีดวัคซีนในวันนี้ กล่าวว่า ลูกชายอายุ 3 ขวบครึ่ง และยังไม่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน ตอนนี้ก็ไปโรงเรียนชั้นอนุบาล จึงมีความกังวลว่าจะติดเชื้อ ซึ่งขณะนี้มีการเริ่มฉีดวัคซีนให้กับเด็ก 6 เดือนขึ้นไป ตนและครอบครัวจึงศึกษาข้อมูลวัคซีน
“ตอนแรกๆ ก็มีความกังวลเรื่องการฉีดวัคซีน แต่ตอนนี้มีความมั่นใจในความปลอดภัย และเชื่อว่าวัคซีนช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ จึงตัดสินใจให้ลูกชายเข้ารับวัคซีนในวันนี้ โดยได้รับคำแนะนำจากแพทย์ประจำตัวว่าให้ลูกพักผ่อนมากๆ ก่อนจะเข้ารับการฉีดวัคซีน และได้รับคำแนะนำหลังจากรับวัคซีนด้วย” น.ส.นัฐตพร กล่าว