สธ.เผยผลงานกัญชาปี’65 คนไข้เข้าถึงการรักษา ผุดวิจัย-นวัตกรรม จ่อปรับสถานะน้ำมันเดชาขึ้นบัญชี1

สธ.เผยผลงานกัญชาปี’65 คนไข้เข้าถึงการรักษา ผุดวิจัย-นวัตกรรม จ่อปรับสถานะน้ำมันเดชาขึ้นบัญชี1

วันนี้ (4 พฤศจิกายน 2565) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 มี นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธาน ได้มีตัวแทนจากกรมและกองต่างๆ ในสังกัด สธ. เข้าร่วมสรุปผลการดำเนินงานปีงบประมาณ 2565 และแนวทางการขับเคลื่อนกัญชาทางการแพทย์ในปี 2566 ทั้งนี้ โดยภาพรวมของการขับเคลื่อนที่ผ่านมา เน้นใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ การเข้าถึงยาที่มีคุณภาพของผู้ป่วย การพัฒนาวิจัยและนวัตกรรม การคุ้มครองผู้บริโภค และการปกป้องกลุ่มเปราะบาง ส่วนแนวทางการขับเคลื่อนในปี 2566 ยังคงเน้นการขับเคลื่อนใน 4 ประเด็นเดิม โดยบูรณาการทำงานทุกกรม กองให้เชื่อมร้อยกัน สร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมการใช้และผลักดันให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจและการคุ้มครองความปลอดภัยของสาธารณชน และเพิ่มเติมอีก 2 ประเด็น ที่จะขับเคลื่อน คือ การสร้างความรอบรู้ด้านกัญชา และการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ

นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะต้องเผชิญกับการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ก็ยังสามารถขับเคลื่อนเรื่องกัญชาทางการแพทย์จนทำให้ผู้ป่วยร้อยละ 154.38 เข้าถึงยากัญชาได้ เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2564 ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในปี 2566 ทางแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ จะร่วมกับเขตสุขภาพ สถาบันกัญชาทางการแพทย์ และกองบริหารการสาธรณสุข รวมถึงกรมวิชาการ คือ กรมการแพทย์ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และกรมสุขภาพจิต จัดทำการวิจัยเพื่อขยายกลุ่มโรค และเสนอเข้าสู่หลักประกันสุขภาพ อันจะทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้มากขึ้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

นพ.ประพนธ์ กล่าวถึงการวางแผนการวิจัยว่า ได้มีการออกแบบให้มีความหลากหลายขึ้น ทั้งการวิจัยร่วมกับต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับของยากัญชาจากประเทศไทย โดยกรมการแพทย์ได้เปิดแนวรุกวิจัยร่วมกับต่างประเทศ โดยจัดตั้งศูนย์วิจัยกัญชาทางการแพทย์ระหว่างประเทศ (International Medical Cannabis Research Center: IMCRC) และจัดทำแพลตฟอร์มการวิจัยที่เปิดให้ทุกหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศเข้ามาร่วมใช้ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ได้ลงนามความร่วมมือ (เอ็มโอยู) กับเนเธอแลนด์ และกำลังหารือร่วมกับมาเลเซีย ส่วนกรมการแพทย์แผนไทยฯ จะดำเนินการวิจัยกัญชาทางการแพทย์แผนไทย เพื่อสนับสนุนการใช้โดยเฉพาะในหน่วยปฐมภูมิ

Advertisement

“ในปี 2566 กรมการแพทย์แผนไทยฯ จะดำเนินการปรับสถานะยาน้ำมันเดชา จากบัญชี 3 ของบัญชียาหลักแห่งชาติ ให้มาเป็นบัญชี 1 เพื่อให้สามารถสั่งจ่ายได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น เพราะการวิจัยที่ผ่านมา พบว่ายาน้ำมันเดชา ใช้ได้ผลดี และช่วยแก้ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยของประชาชน และยังจะเป็นการเปิดโอกาสให้เอกชนนำยาดังกล่าวมาผลิตเพื่อขึ้นทะเบียนและจำหน่ายให้สถานพยาบาลต่อไปได้ นอกจากงานวิจัยในระดับกรมแล้ว ในปีนี้ แผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ จะร่วมกับเขตสุขภาพ สถาบันกัญชาทางการแพทย์  และกองบริหารการสาธารณสุข จัดทำตัวชี้วัดเรื่องการจัดการความรู้และวิจัยกัญชา โดยแต่ละเขตสุขภาพจะมีงานวิจัยอย่างน้อย 2 เรื่อง แต่ปัจจุบันก็มีบางเขตสุขภาพแจ้งมาว่าอาจจะมีมากกว่า 2 เรื่อง ซึ่งตรงนี้จะทำให้เรามีองค์ความรู้มากขึ้นในการนำมาใช้กับผู้ป่วย” นพ.ประพนธ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกัญชาทางการแพทย์ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดการใช้ในผู้ป่วยที่ปลอดภัย และยังเป็นชุดข้อมูลในการเสนอเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร โดยปัจจุบันมียากัญชาทั้งในรูปแบบสารสกัด และยาตำรับแพทย์แผนไทยและแพทย์พื้นบ้านจำนวน 10 รายการ และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 1 รายการ ซึ่งยาเหล่านี้ ประชาชนสามารถเข้าถึงโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

Advertisement

“นอกจากนั้นแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการยกระดับองค์ความรู้ทางการแพทย์แผนไทยให้มีความทันสมัย เพิ่มการยอมรับของผู้ป่วย โดยกรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้นำยาตามองค์ความรู้ดั้งเดิมมาพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบที่สะดวกต่อการใช้ ขณะเดียวกัน ก็ยังคงไว้ซึ่งประสิทธิผลในการรักษา เช่น การทำเป็นยาครีม ยาผงละลายน้ำ หรือการพัฒนายาเม็ดให้เกิดการแตกตัวในลำไส้ เพื่อลดผลข้างเคียงจาการระคายเคืองกระเพาะ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิผลของยาให้ออกฤทธิ์ได้นานขึ้น ในส่วนของต้นทางของห่วงโซ่อุปทาน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีการศึกษาวิจัยลักษณะทางพันธุกรรมและเคมีของกัญชาสายพันธุ์ไทย ซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น 4 สายพันธุ์หลัก อยู่ในระหว่างการดำเนินการขึ้นทะเบียนเพื่อรับรองสายพันธุ์ หากประสบความสำเร็จ ประเทศไทยก็จะมีสายพันธุ์กัญชาไทยที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับกับต่างประเทศ ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมยาและผลิตภัณฑ์สุขภาของประเทศ และแผนงานในปี 2566 ของกรมวิทยาศาสตร์ฯคือ พัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพจากกัญชาสายพันธุ์ไทยให้ภาคเอกชน” นพ.ประพนธ์ กล่าว

ส่วนข้อห่วงใยของสาธารณชนต่อการปลดพืชกัญชาจากยาสเพติดให้โทษนั้น นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า สธ.ได้พัฒนาระบบการเฝ้าระวัง ตั้งแต่ระดับชุมชน โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ได้ทำงานกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการให้เป็นแกนนำในการเฝ้าระวังและให้ข้อมูลกัญชาที่ถูกต้องกับผู้ป่วย รวมถึงกรมการแพทย์  และกรมสุขภาพจิต ได้ติดตามผลกระทบจากการนำกัญชาไปใช้ในทางที่ผิด ผ่านฐานข้อมูลของ สธ. และของกรม ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

“นอกจากนี้ ยังมีกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคและปกป้องกลุ่มเปราะบาง ทั้งการออกประกาศกระทรวงกำหนดให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม โดยกรมการแพทย์แผนไทยฯ กรมอนามัยมีการออกกฎกระทรวงและประกาศกรมอนามัยในการควบคุมกำกับการสูบในที่สาธารณะและการนำกัญชาไปใส่ในอาหาร กรมวิทยาศาสตร์ฯ ได้ดำเนินการจัดทำชุดทดสอบแล้วทั้งสิ้น 3 ชุด ได้แก่ cannabis rapid test ใช้ทดสอบตัวอย่างว่ามีกัญชาเป็นองค์ประกอบหรือไม่ THC test kit ใช้ตรวจแยกกัญชาและกัญชง และ test kann ใช้ตรวจวัดปริมาณ THC ในสารสกัดและน้ำมันกัญชาที่ ร้อยละ 0.2 ต่อน้ำหนัก และยังขยายเครือข่ายการตรวจทางห้องปฏิบัติการให้ครอบคลุมทั้ง 12 เขตสุขภาพ และปีที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ได้ออกสำรวจปริมาณ THC, CBD และสารปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์กัญชา และได้ดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ประกอบการที่ผลิตผลิตภัณฑ์ไม่ได้คุณภาพไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในปี 2566 จะทำการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดให้มากขึ้น เพื่อเป็นหลักประกันด้านความปลอดภัยของผู้บริโภค” นพ.ประพนธ์ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการ สธ. กล่าวว่า ในปี 2566 จะเน้นเรื่องการสร้างความสมดุลของการใช้และความปลอดภัย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์และบริการในท้องตลาด ที่จะนำข้อกฎหมายมาบังคับใช้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน การสร้างความรอบรู้ให้ผู้บริโภคและผู้ป่วยก็จะดำเนินการควบคู่กัน โดยจะเตรียมการสื่อสารทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปิดประเทศ ที่จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเพิ่มขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image