อนุทิน เปิดของขวัญคนไทยปี 2566 “ดูแลสุขภาพผู้สูงวัย” ส่งเสริมให้พึ่งพาตัวเองได้ เผย แนวคิดขยายช่วงอายุ “อาวุโส” ถึง 70 ปี เหตุยังสามารถดำรงชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารีย์ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมแถลงข่าวการประกาศนโยบายของขวัญปีใหม่กระทรวงสาธารณสุข “2566 ปีแห่ง สุขภาพผู้สูงวัย”
นายอนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว หากยึดจากเกณฑ์ตัวเลขอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีจำนวน 12.5 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 19 ของประชากรไทย และตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตนมองว่าหากสามารถขยายการกำหนดช่วงอายุเป็น 60-70 ปี ซึ่งปัจจุบันคนที่อยู่ในกลุ่มนี้ยังสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกได้ว่าเป็น “สูงวัยใจวัยรุ่น” (young at heart) ฉะนั้นเราต้องสร้างความพร้อมทางสุขภาพเพื่อจะเป็นย่างก้าวต่อไป ทั้งนี้ การขยับเกณฑ์ดังกล่าวต้องได้ความเห็นชอบจากภาคส่วนอื่นๆ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับการกำหนดขอบเขตอายุงาน แต่ สธ. มัวรอไม่ได้ เราจึงต้องทำให้คนกลุ่มนี้มีความแข็งแรง อยู่ได้โดยไม่เป็นภาระ เพราะถ้าย้อนไป 50 ปีก่อน คนที่อายุ 50 ปีในยุคนั้นดูอาวุโสกว่าคนอายุ 50 ปีในยุคนี้ เนื่องจากปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
นายอนุทิน กล่าวว่า ในปี 2566 สธ.มีความพยายามทำให้การดูแลผู้สูงอายุเกิดประสิทธิภาพที่ดีขึ้น จึงกำหนดให้เป็นปีแห่งการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ โดยกรมอนามัย และ สปสช. ได้กำหนดแพคเกจสุขภาพผู้สูงวัย ได้แก่ 1.แว่นสายตาทั้งสั้นและยาว 5 แสนชิ้น 2.ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ 5 ล้านชิ้น โดยบอร์ดสปสช.เห็นชอบให้เรื่องนี้บรรจุในชุดสิทธิประโยชน์ปี 2566 และ 3.ฟันเทียม 36,000 ราก และรากฟันเทียม 3,500 ราก รวมไปจนถึงการดูแลผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งมีการเยี่ยมจากหน่วยงานสาธารณสุข นอกจากนี้ สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะคนรุ่นใหม่ได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น ทำให้มีการออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น ทางกรมสุขภาพจิต ก็ได้เตรียมแนวทางการปรับสภาพสังคมของไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้นนี้ด้วย เพื่อจัดระเบียบความคิด สร้างขวัญกำลังใจให้ผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น พึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น มีคนดูแลแทนลูกหลานถ้าจำเป็นและเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุขได้รวดเร็ว ให้มีอายุยืนยาวเพราะคุณภาพชีวิตที่ดีไม่ใช่เพราะยา
นพ.โอภาส กล่าวว่า สำหรับแผนการมอบของขวัญให้แก่ผู้สูงอายุให้ครอบคลุมและทั่วถึงดังนี้ 1.ให้กรมกรมอนามัย และกรมสุขภาพจิต พัฒนาแบบคัดกรองผู้สูงอายุ โดยแบบใช้แบบคัดกรองความถดถอย 9 ด้าน คือ การเคลื่อนไหวร่างกาย, ภาวะโภชนาการ, การมองเห็น. การได้ยิน, การกลั้นปัสสาวะ, ภาวะซึมเศร้า, ภาวะสมองเสื่อม, การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และสุขภาพในช่องปาก 2.ให้อสม.ร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) คัดกรองภาวะถดถอยของผู้สูงอายุด้วยแอพพลิเคชั่น “Blue book” เพื่อถ่ายโอนข้อมูลเข้าสู่ระบบ รพ. 3.ให้รพ.ทุกแห่งพัฒนาคลินิกผู้สูงอายุรองรับการส่งต่อ การคัดกรองความเสี่ยง และ 4.สปสช.สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์และงบประมาณที่จำเป็นสำหรับการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุผ่านกองทุนบัตรทอง กองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น และกองทุนการดูแลระยะยาว โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกระดับดำเนินการประเมินความต้อง และจัดหาวัสดุอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับสุขภาพผู้สูงอายุแต่ละราย ทั้งนี้จะมีการติดตามการมอบของขวัญแก่ผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด
ด้าน นพ.จเด็จ กล่าวว่า สำหรับการสนับสนุนแว่นสายตา 5 แสนชิ้น จะใช้งบฯ กองทุนสุขภาพระดับท้องถิ่น ส่วนผ้าอ้อม แผ่นรองซับและแผ่นเสริมซึมซับการขับถ่าย จะใช้กลไกกองทุนสุขภาพตำบล หรือกองทุนฟื้นฟูระดับจังหวัดเข้าไปเสริม ทั้งนี้หากท่านใดมีผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงให้ติดต่อหน่วยบริการกระทรวงสาธารณสุข เพราะจะมีกลไกการไปดูแลอื่น ๆ เพิ่มเติม รวมถึงการลงไปดูแลสภาพบ้านเรือนว่ามีความพร้อมในการดูแลด้วย ส่วนของฟันเทียมและรากฟันเทียมนั้น จะเพิ่มเติมบริการรากฟันเทียมอีก 3,500 รายจากเป้าหมาย 36,000 ราย นอกจากนี้ กองทุนบัตรทองจะสนับสนุนกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค ทั้งวัคซีน การคัดกรองโรค ซึ่งจะเพิ่มการคัดกรองไขมันในเส้นเลือด คัดกรองภาวะซึมเศร้า มะเร็งลำไส้ หรือส่วนอื่นๆ เป็นต้น